++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"วัฒนธรรมหน้ากากอนามัย" สำนึกรับผิดชอบป้องกันหวัด 09

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


รายงานพิเศษโดย.....เจิมใจ แย้มผกา

ปัญหาที่ประชาชนชาวไทยจำนวนไม่น้อยกำลังวิตกกันอยู่ในขณะนี้
หนีไม่พ้นปัญหาการแพร่กระจายของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่ปัจจุบันนี้ตัว
เลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ยังคงทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ด้วยเหตุดังกล่าว ชาวบ้านร้านตลาด
ตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน
จึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ถูกเรียกว่า
"หน้ากากอนามัย"

รศ.ดร.อังคณา ฉายประเสริฐ เลขานุการโครงการทุนวิจัยวัณโรคดื้อยา
ศิริราชมูลนิธิ ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
หนึ่งในผู้ริเริ่มรณรงค์ให้คนไทยล้างมือให้สะอาด
และให้ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกไปในที่สาธารณะให้ข้อมูลว่า
วิธีการป้องกันโรคที่ง่าย และถูกที่สุดคือการล้างมือบ่อยๆ
และโดยเฉพาะการใช้หน้ากากอนามัย เป็นวิธีที่ได้ผล
แต่การใช้หน้ากากอนามัยให้ได้ผลที่สุด คือต้องให้ผู้ป่วยเป็นผู้ใช้
ไม่ใช่ให้คนปกติเป็นผู้ใช้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย

"พฤติกรรมการใช้ หน้ากากอนามัยของคนไทย ตามความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว
คนไทยมักจะตื่นตัวใช้กันในยามในมีโรคติดต่อระบาด
สังเกตได้จากเมื่อครั้งโรคซาร์ส และไข้หวัดนกระบาด ก็จะหันมาใช้กัน
แต่สิ่งที่ถูกต้องก็คือ ผู้ป่วยที่แค่รู้สึกตัวว่าป่วย
แม้กระทั่งยังไม่ได้ไปพบแพทย์และยังไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยจากแพทย์
แต่รู้สึกมีอาการป่วยทางระบบทางเดินหายใจ เช่น มีอาการไอ จาม เจ็บคอ
มีน้ำมูก ก็ควรจะสวมหน้ากากอนามัย"

รศ.ดร.อังคณา อธิบายเพิ่มเติมว่า การให้คนปกติใส่เพื่อระวังนั้น
เป็นการสิ้นเปลืองมากเกินไป เพราะคนไทยมี 60 กว่าล้าน
การจะให้คนทั้งหมดสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรค
ยากกว่าการรณรงค์ให้ผู้ป่วยซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าสวมหน้ากากอนามัยนี้
อย่างไรก็ตาม หากคนปกติพอจะมีกำลังซื้อหรือไม่ยุ่งยาก
การเดินทางไปในที่สาธารณะที่อากาศไม่ถ่ายเท
สวมหน้ากากอนามัยก็ถือเป็นการป้องกันตนเองได้เหมือนกัน

สำหรับชนิดของหน้ากากอนามัยนั้น ตามปกติที่ประชาชนทั่วไปใช้กัน
คือแบบที่ธรรมดาที่ใช้กันในห้องผ่าตัด ที่สามารถกรองละอองใหญ่ๆ ได้
อาจจะลดการกระจายของโรคเมื่อคนป่วยไอ จาม หรือหายใจ ให้อยู่ในขอบเขตจำกัด
คือ บริเวณที่มีผ้าครอบ แต่จะกรองเชื้อโรคได้ไม่ทั้งหมด
เนื่องจากเชื้อหวัดเป็นเชื้อไวรัส ดังนั้น
จำเป็นต้องใช้หน้ากากพิเศษโดยเฉพาะ นั่นคือหน้ากากอนามัยเอ็น 95

ทั้ง นี้ หน้ากากอนามัยเอ็น 95
เป็นหน้ากากที่ใช้กันในห้องปฏิบัติการ
มีความพิเศษกว่าหน้ากากให้ห้องผ่าตัดที่ใช้กันทั่วไป ตรงที่หน้ากากเอ็น
95 มีรูพรุนที่เล็กมากจนไวรัสผ่านเข้าไปหรือออกมาไม่ได้
ซึ่งจะกรองเชื้อแบคทีเรียได้ด้วยเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียมีขนาดใหญ่กว่า
เชื้อไวรัส

"หน้ากากอนามัยเอ็น 95 ทำด้วยวัสดุพิเศษ
ลักษณะป่องครอบได้ทั้งจมูกและปาก
วิธีใส่ที่ถูกต้องคือต้องกดให้แนบกับผิวหน้า เมื่อสวมเสร็จจะรู้สึกแน่น
แต่นั่นคือวิธีที่สวมถูกวิธี จะหายใจค่อนข้างไม่สะดวกสำหรับผู้ไม่ชิน
แต่ถ้าหากใส่หลวมๆ ไม่แนบหน้า หายใจได้สะดวก นั่นเป็นวิธีใส่ที่ผิด
และเชื้อโรคจะเข้ามาได้ ซึ่งหน้ากากอนามัยชนิดนี้จะป้องกันเชื้อได้ 100%
สำหรับราคาหน้ากากอนามัยชนิดเอ็น 95 โครงการอาจจะซื้อได้ถูกกว่าเล็กน้อย
ราคาตกอยู่ที่ประมาณชิ้นละ 50 บาท
ส่วนหน้ากากทั่วไปที่ใช้ในห้องผ่าตัดอยู่ที่ประมาณ 2 ชิ้น 10 บาท"

หน้ากากอนามัยเอ็น 95
รศ.ดร.อังคณา ยังกล่าวด้วยว่า
วัฒนธรรมการใช้หน้ากากอนามัยของสังคมไทย แม้อาจจะยังไม่เป็นที่นิยมนัก
และใช้กันเฉพาะเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเป็นพักๆ
ไม่ได้ใช้ต่อเนื่องทุกครั้งเมื่อป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ
แต่คนไทยก็เริ่มชินและไม่รู้สึกแปลกหรืออายที่จะสวมใส่เหมือนเมื่อในสมัย
ก่อน

"เดี๋ยวนี้นอกจากเราจะชินเวลาเราไปพบแพทย์ตามคลินิก หรือโรงพยาบาล
ที่เราจะเห็นคุณหมอหรือพยาบาลสวมหน้ากากอนามัยเวลาตรวจคนไข้หรือเมื่อพูดคุย
กับคนไข้แล้ว คนไทยยังชินกับภาพตำรวจจราจรสวมหน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่นและมลพิษยามปฏิบัติ
หน้าที่อยู่กลางถนน
รวมถึงภาพสถานการณ์การแพร่ระบาดและป้องกันโรคทางเดินหายใจในต่างประเทศ
ที่เราจะเห็นว่าคนในต่างประเทศสวมหน้ากากอนามัยกันเป็นปกติ
สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ เข้ามาและสังคมไทยจะซึมซับจนเห็นเป็นของปกติ
และเลิกรู้สึกแปลกหรืออายยามสวมหน้ากากอนามัยในที่สุด
ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา"

รศ.ดร.อังคณา ฝากเตือนไปยังประชาชนทั่วไปด้วยว่า
ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคหวัด 2009 นี้ หากไม่จำเป็น
ประชาชนควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท เช่นในโรงมหรสพ
ห้างสรรพสินค้า ห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศที่อากาศไม่ถ่ายเท
หากจำเป็นควรสวมหน้ากากอนามัย

"อาชีพ ที่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด
ที่มีเครื่องปรับอากาศและอับ เช่น คนขับแท็กซี่
หรือพนักงานขับรถประจำทางปรับอากาศ หรือคนที่ใช้รถไฟฟ้าหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน
ก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตนเอง แต่ที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด
และสิ้นเปลืองน้อยที่สุด ก็ยังยืนยันว่า
ควรจะเป็นวิธีการปลูกฝังการรับผิดชอบต่อส่วนรวม
โดยให้ผู้ที่ป่วยเป็นผู้สวมใส่หน้ากากอนามัย
แทนที่จะให้คนปกติที่มีมากกว่าต้องใส่เพื่อระวัง
การที่ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัยจะเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของ
โรคได้ดี" รศ.ดร.อังคณา ทิ้งท้าย

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000067514

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น