ชี้ต้องเปลี่ยนมือขับทุก 400 กม.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
วิจัยความ ปลอดภัยทางถนน แฉ 10 วัน รถทัวร์คว่ำคร่า 20 ศพ
เจ็บอื้อ ชี้ คนขับต้องมีทักษะ เปลี่ยนมือสำรองทุก 400 กิโล
ติดจีพีเอสคุมความเร็วพร้อมอุปกรณ์หน่วงเวลาเบรก
ย้ำต้องทำประกันรับผิดชอบค่ารักษาเวลาเกิดอุบัติเหตุ
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน
(ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) กล่าวว่า
ขณะนี้มีเหตุการณ์รถทัวร์ประสบอุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.คณะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
จ.สมุทรปราการ ไปดูงานที่ภาคใต้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต 17 ศพ
บาดเจ็บอีกกว่า 28 ราย และล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ห่างกันเพียง 11
วัน ก็เกิดรถทัวร์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตร จ.เชียงใหม่ พลิกคว่ำที่ ต.ก๊อ
อ.ลี้ ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่ปิง จ.ลำพูน ทำให้ผู้เสียชีวิต 7 คน บาดเจ็บ
45 คน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเดิมๆ อาทิ ความปลอดภัย
ตั้งแต่พนักงานขับรถไปจนถึงตัวรถ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข
เชื่อปัญหาดังกล่าวจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกแน่นอน
นพ.ธนะพงศ์ กล่าวว่า การแก้ปัญหา ควรเริ่มตั้งแต่
1.พนักงานขับรถมีความชำนาญเส้นทาง มีประสบการณ์ในการขับรถ
ซึ่งต้องเข้มงวดในการออกใบอนุญาตขับขี่สำหรับพนักงานขับรถในกลุ่มนี้โดย
เฉพาะ 2.กำหนดให้มีคนขับสำรองในกรณีที่ต้องเดินทางไกล
โดยเฉพาะระยะทางที่มากกว่า 400 กิโลเมตร
3.ศึกษาเส้นทางที่จะเดินทางว่าเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหรือไม่
เพื่อเตรียมการเดินทาง 4.ส่งเสริมให้ติดตั้งจีพีเอส
หรืออุปกรณ์ที่ช่วยกำกับพฤติกรรมขับขี่ของคนขับ ว่า
มีการขับเร็วเกินกำหนด การออกนอกเส้นทาง หรือไม่
บริษัทจะสามารถติดตามพฤติกรรมการขับขี่
และสั่งให้พนักงานเปลี่ยนมาขับขี่อย่างปลอดภัย 5.ตัวรถ
และอุปกรณ์ความปลอดภัย ควรกำหนดให้รถทัศนาจรสองชั้น
ต้องมีอุปกรณ์ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น การมีระบบช่วยหน่วง ในขณะเบรก
การกำหนดให้มีเข็มขัดนิรภัยในทุกที่นั่งด้วย
"ที่ สำคัญ
ควรกำหนดและระบบตรวจสอบให้รถทัศนาจรทุกคันต้องทำประกันภัย
เพราะหลายกรณีพบว่า รถทัศนาจรที่ประสบเหตุเป็นของส่วนบุคคล
และขาดการต่อสัญญาประกันภัย
โดยให้บริษัทประกันเข้ามาดูแลค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลเป็นหลัก
แทนให้ใช้สิทธิรักษาพยาบาลประเภทอื่นๆ เช่น สิทธิสวัสดิการข้าราชการ
เพราะจะทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่สะท้อนต้นทุนของระบบประกันภัย
อุบัติเหตุที่เกิดกับรถโดยสารสาธารณะในแต่ละปีมีจำนวนมาก
และเมื่อเกิดเหตุจะมีผู้เกี่ยวข้องหลายราย แต่ขั้นตอนช่วยเหลือเยียวยา
ตลอดจนการฟ้องคดี มักใช้เวลานาน
ถ้าสามารถผลักดันให้มีกองทุนช่วยเหลือเยียวยา
จะเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ประสบภัย จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้อง
หรือยอมความกันอีกขั้นตอนหนึ่ง" นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000068476
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น