รัฐสภาจะเปิดประชุมสมัยวิสามัญระหว่างวันที่ 15 - 23 มิถุนายน 2552
ในช่วงสัปดาห์แรกตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 ไปถึงวันศุกร์ที่ 19
เว้นวันอังคารที่ 16 ไว้วันหนึ่ง
น่าจะเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด
เพื่อพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาท 1 วัน
ในวันนี้อาจจะแถมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 4
แสนล้านบาทในวาระแรก
เพราะเป็นเรื่องที่มีมีหลักการเดียวกันกับพระราชกำหนด ส่วนอีก 3
วันที่เหลือเป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553
ในวาระแรก ส่วนสัปดาห์ต่อไปในวันจันทร์ที่ 22 จะเป็นการประชุมวุฒิสภา
เพื่อพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาท
พูดภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่าย ๆ ก็อย่างที่พาดหัวไว้นั่นแหละ
รัฐสภาจะมีมติผ่านงบประมาณกันรวมทั้งหมด 3.1 ล้านล้านบาท !
แบ่งเป็นอนุมัติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553
เสียประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท
ส่วนนี้เป็นปกติประเพณีปฏิบัติทุกปี รัฐสภาสามารถควบคุมได้ตามกระบวนการ
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้นมีกฎเกณฑ์การจัดทำ
ละเอียด ต้องระบุโครงการโดยละเอียดไว้ในแต่ละมาตราของกฎหมาย
แยกเป็นกระทรวงทบวงกรมและแผนยุทธศาสตร์
นอกจากสภาจะพิจารณาหลักการในวาระที่ 1 แล้ว
ยังใช้เวลาอีกเป็นเดือนในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการวาระที่ 2
เพื่อแก้ไขปรับปรุง
ก่อนจะกลับเข้ามาพิจารณาในสภาใหญ่อีกครั้งเพื่อยกมือผ่านเป็นรายมาตราในวาระ
ที่ 2 และยกมือผ่านทั้งฉบับในวาระที่ 3
แต่อีกส่วนหนึ่งจำนวนก้อนโต 1.4 ล้านล้านบาท
ผ่านมาทางพระราชกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาท และร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 4
แสนล้านบาท แตกต่างกันออกไป
เพราะไม่ได้ทำเป็นรายละเอียดเหมือนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ทั้งพระราชกำหนดและพระราชบัญญัติมีหลักการกว้าง ๆ
เพียงให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินมาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
และให้อำนาจกู้ในลักษณะรีไฟแนนซ์
โครงการ รวม 1.4 ล้านล้านบาทที่เรียกว่า
"แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555"
สภาไม่มีโอกาสพิจารณาโดยละเอียดและปรับแก้ได้เหมือนการพิจารณาร่างพระราช
บัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
สภาแค่พิจารณาว่าจะอนุมติให้กู้เงิน 8 แสนล้านบาทหรือไม่เท่านั้น
โดย 4 แสนล้านบาทแรก รัฐบาลท่านก็ออกเป็นพระราชกำหนดไปแล้ว
มีผลใช้บังคับไปแล้ว สภาแค่มีอำนาจอนุมติหรือไม่เท่านั้น
ถ้าไม่อนุมัติก็ไม่กระทบการที่กระทำไปก่อนหน้าระหว่างที่พระราชกำหนดมีผลใช้
บังคับ
ผมถึงได้บอกว่ารัฐบาลท่านเห็นสภาเป็นหัวหลักหัวตอ
ผมถึงจำเป็นต้องคัดค้าน
แม้จะรู้ว่าถึงอย่างไรก็แพ้
แต่ก็ต้องคัดค้านเพื่อแสดงจุดยืนบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การทำงานของตัวเอง
ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา หนึ่งในองค์กรทางด้านนิติบัญญัติ
ที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร
และหนึ่งในกระบวนการควบคุมตรวจสอบที่กระทำกันทั่วโลกก็คือกระทำผ่านการ
พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ความเห็นของผมโดยสรุปแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 สมมติว่าผมเชื่อว่า "แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555"
ดีเลิศประเสริฐศรี ผมก็ยังเห็นว่าวิธีการของรัฐบาลผิด
วิธีที่ควรจะเป็นในมุมมองของผมที่ได้หารือกับผู้เชี่ยวชาญการเงินการคลังหลากหลายแล้วมีสรุปดังนี้
1. รัฐบาลออกพระราชกำหนดกู้เงินเพียง 2 แสนล้านบาท
เพื่อนำเข้าเงินคงคลัง ชดเชยการเก็บภาษีที่ไม่เข้าเป้าในปีนี้
2. นำการใช้เงินตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555
ไปแยกบรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553, 2554 และ
2555 ถ้าจำเป็นก็อาจมีร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมของปี
2553 เสนอเข้ามาราว ๆ เดือนมีนาคม-เมษายน 2553 ก็ได้
แน่นอนว่าวิธีตามข้อ 2
จะติดขัดเองสัดส่วนเงินกู้ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
และอาจจะพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ ก็สามารถแก้ปัญหาได้ ดังนี้
2.1 แก้ไขพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ เพิ่มสัดส่วนเงินกู้
โดยให้ใช้สัดส่วนใหม่เป็นการชั่วคราวไม่เกิน 3 ปี
เขียนเป็นบทเฉพาะกาลก็ได้
2.2 แก้ไขพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะในลักษณะเดียวกัน
วิธีการที่ควรจะเป็นในมุมมองของผมนี้ ผมไม่ได้คิดเป็นคนเดียว
มีคนในกระทรวงการคลัง
ทั้งในส่วนข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองเสนอขึ้นมาแล้ว
แต่รัฐมนตรีท่านไม่เลือก
เหตุผลก็อาจจะมีทั้งความเชื่อโดยบริสุทธิ์ ขาดการพิจารณาผลเสียอย่างรอบด้าน
และก็อาจจะมีทั้งวาระแอบแฝง !
ที่ต้องการอนุมัติเงิน 1.4 ล้านล้านบาทที่ความจริงแบ่งใช้เป็นปี ๆ
ในรอบ 3 ปี ให้เบ็ดเสร็จในวันนี้ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
ประโยชน์ทางการเมืองในที่นี้ตกเป็นของพรรคการเมืองทุกพรรคที่ร่วมกันเป็นรัฐบาล
!!
ขั้นตอนที่ 2 เผอิญผมไม่เชื่อว่า "แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555"
นี้ดีเลิศประเสริฐศรี เอาละ
ผมไม่ปฏิเสธการลงทุนที่จะก่อให้เกิดการจ้างงาน
แต่นอกจากการลงทุนโดยรัฐแล้ว
รัฐบาลไม่คิดกุศโลบายผลักดันในภาคเอกชนลงทุนเองเลย
ซึ่งไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทำได้หลายวิธีด้วยกัน
ท่านผู้อ่านต้องทราบว่าเงินกู้ 8 แสนล้านบาทนี้
รัฐบาลกู้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่
ก็แปลว่าประเทศไม่ได้ขาดเงิน
แต่เงินไปกองอยู่ในสถาบันการเงินและธนาคาร
ที่ไม่ปล่อยเงินกู้เพื่อให้เกิดการลงทุนโดยภาคเอกชน
ความเป็นจริงวันนี้คือผู้ฝากเงินได้ดอกเบี้ยน้อย
แต่ผู้กู้เงินเสียดอกเบี้ยสูง แถมโอกาสได้กู้มีน้อยมาก
สังเกตอะไรอย่างหนึ่งมั้ยครับ
เมื่อวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพระราชกำหนดกู้เงิน 4
แสนล้านบาทไม่ขัดรัฐธรรมนูญ หุ้นธนาคารและสถาบันการเงินขึ้นสูงทันทีเลย
เพราะรู้ว่าจะกำไรและมีรายได้อย่างมั่นคงจากการที่ปล่อยเงินให้รัฐบาลกู้ !!
เฉพาะเหตุผล 2 ขั้นตอนนี้ ผมก็เห็นของผมอย่างซื่อ ๆ
ว่าการเอาแผนใช้เงิน 1.4 ล้านล้านบาทหลบการตรวจสอบโดยรัฐสภา
โดยไม่นำไปบรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
แต่ออกกฎหมายกู้เงินกันดิบ ๆ เถื่อน ๆ รวม 2 ฉบับ 8 แสนล้านบาทนี้
มันจะไม่ทำให้ "ไทยเข้มแข็ง" โดยองค์รวมหรอก
คงจะเข้มแข็งเฉพาะกลุ่มส่วนน้อยของสังคมเท่านั้น !!
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000063767
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น