++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จากคว่ำโครงการสู่การคว่ำโจรการเมือง

โดย สิริอัญญา 4 มิถุนายน 2552 13:09 น.
ท่ามกลางการติดตามโครงการรถเมล์โจร 4,000 คัน
อย่างใจจดใจจ่อของคนไทยทุกหมู่เหล่า คณะรัฐมนตรีก็ได้เตะลูกออกจากสนาม
ส่งเรื่องให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาศึกษาโครงการ
และนำเข้ามาพิจารณาใหม่ภายใน 1 เดือน

หะแรกที่ข่าวคณะรัฐมนตรีไม่ผ่านโครงการและเตะลูกออกเช่นนี้
ผู้คนทั้งหลายต่างก็มีความยินดีว่าบ้านเมืองยังพอมีคนดีที่หวังพึ่งพาได้
บ้าง แต่ไม่ทันข้ามชั่วโมง เมื่อความจริงถูกเผยออกมาอีก
ความรู้สึกผิดหวังและหมดหวังกับการเมืองเก่าที่เน่าเฟะก็โหมประดังเข้าสู่
จิตใจคนไทยอีกครั้งหนึ่ง

เพราะ ผู้คนรู้เท่าทันว่ากระบวนการเตะลูกออกที่ว่านี้ก็คือกระบวนการซื้อเวลาเพื่อ
ฟอกโครงการให้ดูดีดูเนียนขึ้น
และในที่สุดก็เป็นไปได้ว่าแก๊งการเมืองก็จะผลักดันโครงการนี้ต่อไป
จึงเป็นอันว่าใน 1 เดือนแต่นี้ไป คนไทยก็ไม่อาจทำใจให้เป็นสุขได้
ยังต้องเฝ้าใจจดใจจ่อป้องกันบ้านเมืองไม่ให้ถูกปล้นต่อไปอีก

ที่ว่าความจริงถูกเผยออกมานั้นก็คือการรายงานข่าวของสื่อมวลชนว่า
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการแอบเกี้ยเซี้ยกัน
มีเนื้อความสำคัญว่ากระแสสังคมจับตาโครงการนี้และก่อกระแสใหญ่ต่อต้านอย่าง
รุนแรง หากหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า หัวเข่าก็จะหักและจะพากันพังหมดทั้งยวง

ดังนั้นจึงตกลงกันใหม่ว่าจะซื้อเวลาโดยเตะลูกไปที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ และจะปรับโครงการจากซื้อเป็นเช่า
แต่ก็จะอยู่ในวงเงินจัดหาเท่าเดิม คือ 64,000 ล้านบาท

หมายความว่าจำนวนเงินที่จะฉ้อฉลปล้นแผ่นดินจะยังคงเป็นไปเหมือนเดิม
ภาระทั้งหมดจะตกอยู่บนบ่าของประชาชนเหมือนเดิมทุกประการ

รายงาน ข่าวดังกล่าวจึงสรุปว่า
แก๊งการเมืองที่ทำการเกี้ยเซี้ยกันนั้นเห็นชอบกระบวนการดังกล่าว
"ด้วยบรรยากาศที่ชื่นมื่น"
ในขณะที่ปวงประชาหน้าเศร้าและต้องเฝ้าบ้านเมืองไม่ให้ถูกปล้นถูกโกงกันต่อไป

การที่โครงการถูกเตะลูกไปที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินั้น
นอกจากการรายงานข่าวซึ่งบอกธงทิศทางการดำเนินงานของโครงการนี้และทำให้ปวง
ประชาระอาใจผิดหวังกับการเมืองเก่าน้ำเน่าแล้ว
คนทั้งหลายยังรู้ต่อไปอีกว่าในที่สุดผลการพิจารณาศึกษาของหน่วยงานที่เคยได้
ชื่อว่าน่าเชื่อถือ มีศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ
ก็คงจะออกผลมาตามธงที่ขบวนเกี้ยเซี้ยได้ทำความตกลงกันนั่นเอง

แต่ อย่าคิดว่าคนไทยยุคนี้เป็นหมูหมาที่ไม่มีราคาค่างวดแก่การสนใจ
ซึ่งเป็นไปตามวิสัยของคนมีอำนาจ พอสวมหัวโขนเข้าแล้วก็กลายเป็นคนละคน
กลายเป็นคนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงคัดค้านของประชาชน
กลายเป็นคนตาบอดไม่เห็นกระแสต่อต้านของประชาชน และกลายเป็นคนหัวใจชาด้าน
ไม่สัมผัสรู้กับกระแสความเคียดแค้นชิงชังของประชาชน
ซึ่งใกล้ถึงจุดที่สุดจะทนทานอีกต่อไปแล้ว

คนทั้งหลายเขารู้ดีว่าผู้บริหารบางคนในสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง
ชาติยุคนี้นั้นไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ใช่ผู้ซื่อสัตย์สุจริต
ที่จะฝากความหวังว่าจะรักษาประโยชน์ของบ้านเมืองไม่ให้ถูกฉ้อฉลปล้นได้
หากเป็นคนที่ถือได้ว่าเป็นแค่ลิ่วล้อบริวารของแก๊งโกงเมืองเท่านั้น

เป็นลิ่วล้อบริวารที่รับใช้แบบถวายหัว
ชงโครงการทุกโครงการที่อำนวยประโยชน์โภคผลแก่นักการเมือง
โดยไม่เคยใส่ใจต่อความพินาศยับเยินของบ้านเมืองที่ปรากฏให้เห็นอยู่ต่อหน้า
ต่อตา

และ เพราะการรับใช้ถวายหัวแบบนี้จึงได้รับประโยชน์ตอบแทนทั้งในรูปอามิส
ทรัพย์สินเงินทองและตำแหน่งหน้าที่การงาน
บางคนได้รับแต่งตั้งให้ไปเป็นบอร์ดในหน่วยงานสำคัญ ๆ 3-4 หน่วยงาน
มีผลประโยชน์เดือนละกว่า 3 ล้านบาท
ในขณะที่พี่น้องข้าราชการทั้งประเทศกำลังตกระกำลำบากกันถ้วนหน้า

ที่สำคัญ
สื่อมวลชนก็รู้ดีว่าผู้บริหารบางคนนั้นสนิทสนมและร่วมทำมาหากินกับนักการ
เมืองคนไหน ทำมาหากินในโครงการไหน และจัดสรรปันส่วนกันอย่างไร

ดังนั้นจึงเป็นที่คาดคะเนได้ว่าในระยะเวลาใกล้ๆ 1 เดือน
หรือในจังหวะทีเผลอก็อาจสรุปผลการศึกษาออกมาตามธงการเมืองที่วางไว้

เขา ตั้งธงให้ศึกษาว่า โครงการรถบัสนี้จะใช้วิธีเช่าหรือซื้อดี
ซึ่งเป็นเล่ห์อุบายที่ตื้นเขิน
เพราะประเด็นปัญหาที่ผู้คนกังขาและจับตามองนั้นไม่ได้มีเพียงเท่านี้
และจะต้องพิจารณาศึกษาให้รอบคอบรอบด้าน อย่างน้อยในประเด็นดังต่อไปนี้

ประเด็นแรก จะต้องพิจารณาศึกษาว่าขณะนี้ระบบการขนส่งของ ขสมก.
นั้นจำเป็นจะต้องเพิ่มรถหรือไม่ หากเพิ่มจะต้องเพิ่มจำนวนกี่คัน
จะต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ก่อน ไม่ใช่เอาตัวเลขเก่าเก็บมาอ้างอิง
เพราะขณะนี้ได้มีรถไฟฟ้าใต้ดิน รถร่วมและรถตู้ที่เพิ่มบริการเข้ามามากมาย
จำนวนผู้โดยสารก็ย่อมลดลงไป และยิ่งในระยะ 3-4 ปีจากนี้ไป
ปริมาณรถไฟฟ้าใต้ดินก็จะเพิ่มขึ้นอีก จำนวนผู้โดยสารก็จะยิ่งลดลงไปอีก
และจะทยอยลดลงไปเรื่อยๆ หากไม่ตั้งต้นจากตรงนี้
ก็เป็นที่แน่นอนว่าโครงการนี้เป็นโครงการยกเมฆเพื่อทำมาหากินกันสถานเดียว
เท่านั้น

ประเด็นที่สอง
จะต้องพิจารณาศึกษาว่าโครงการนี้เคยมีบริษัทจีนซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน
ได้เสนอลงทุนจัดหารถบัสใช้ก๊าซเอ็นจีวีให้กับ ขสมก. โดย ขสมก.
ไม่ต้องลงทุนลงรอนอะไรเลย ฝ่ายจีนเพียงแค่ขอส่วนแบ่งจากกำไรเท่านั้น
หากไม่มีกำไรก็ไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่ง เป็นข้อเสนอที่ ขสมก. มีแต่ได้กับได้
เหตุใดจึงไม่ยอมรับข้อเสนอนั้น

ประเด็นที่สาม หากมีความจำเป็นจะต้องเพิ่มจำนวนรถ
และในสถานการณ์ที่ประเทศชาติตกอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจ
จนต้องกู้เงินรายวันมาจับจ่ายใช้สอยเป็นที่น่าเวทนานั้น
เหตุใดจึงไม่กำหนดเป็นนโยบายในการเพิ่มรถ
แล้วให้เอกชนหรือผู้เดินรถร่วมเป็นผู้ลงทุน โดย ขสมก. ได้รับส่วนแบ่ง
ซึ่งวิธีนี้ไม่ต้องเพิ่มภาระหนี้ ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีความเสี่ยง
และประชาชนก็สามารถใช้บริการได้ถ้าหากว่าจำเป็นจะต้องเพิ่มรถเหมือนกัน

ประเด็นที่สี่ พรรคเพื่อไทยซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพรรคไทยรักไทย
และรู้เช่นเห็นชาติเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นเปิดเผยข้อมูลว่าหากใช้วิธีซื้อก็
จะซื้อได้ในราคาแค่ 10,000 ล้านบาทเท่านั้น ไฉนจะต้องซื้อแพงถึงคันละร่วม
12 ล้านบาท และรถประเภทนี้เขาก็มีขายกันอยู่ทั่วโลก
ราคามาตรฐานที่ขายกันอยู่เท่าใดก็ควรจะได้พิจารณาศึกษาประกอบเพื่อเป็นฐาน
ข้อมูล หากไม่ศึกษาหรือศึกษาแบบยกเมฆ
ในที่สุดก็จะถูกฉีกหน้าโดยภาคส่วนต่างๆ ที่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชาติ

ประเด็นที่ห้า หากจะต้องซื้อรถเข้ามาใช้
และยังดึงดันหน้ามืดที่จะใช้เงินของรัฐบาล
ก็ควรจะได้พิจารณาศึกษาว่าจะซื้อรถแบบไหน
คือจะนำเข้าตัวรถที่ประกอบสมบูรณ์แล้วเข้ามา
หรือว่าจะกำหนดนโยบายให้นำเข้าเฉพาะตัวเครื่องและชัชซี แล้วนำมาต่อตัวถัง
ตลอดจนอุปกรณ์ในประเทศไทย
ซึ่งจะเป็นการเพิ่มการจ้างงานและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย

ประเด็นที่หก หากจะดื้อด้านทำเป็นการเช่า
ก็ควรจะได้ศึกษาประเพณีการเช่าที่มีมาในโลกว่าการเช่ารถนั้นเขามีปกติเช่า
กันเป็นระยะเวลากี่ปี เพราะอายุการใช้งานของรถตามบัญชีแค่ 5
ปีหรืออาจยืดได้เป็น 7 ปี ทำไมจะต้องไปเช่าถึง 10 ปี
หรือว่าคุ้นเคยกับสูตร 10
ปีแบบที่เคยทำมาในสนามบินสุวรรณภูมิหรือโครงการอื่นๆ อันคล้ายคลึงกัน

ประเด็นที่เจ็ด ถ้าเป็นการเช่า
ก็จะต้องศึกษาต่อไปด้วยว่าอันการเช่านั้นเป็นหน้าที่ของใครที่จะต้องบำรุง
รักษารถที่เช่าให้ใช้การได้ดีอยู่เสมอ
คือเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่าหรือของผู้เช่ากันแน่
เพราะโดยประเพณีและบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่าที่จะ
ต้องบำรุงดูแลรักษารถที่ให้เช่าให้ใช้การได้ดีอยู่เสมอ
ไม่ต้องไปศึกษาที่ไหนมาก ไปถามอู่แท็กซี่ที่ไหนก็ได้
หรือถามบริการรถเช่าที่ไหนก็ได้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร
แล้วเรื่องอะไรจะแส่รับหน้าที่จ่ายค่าบำรุงรักษาเสียเองในอัตราที่สุดแสนจะ
แพง โดยเฉพาะคือการจ่ายค่าซ่อมบำรุงเป็นรายวัน ทั้งๆ
ที่รถยังวิ่งได้ดีอยู่ เพราะถ้าหากเป็นรถใหม่นั้นเมื่อซื้อจากเจ้าของ
ผู้ขายยังต้องประกันการซ่อมบำรุงถึง 3 ปี

ประเด็นที่แปด ถ้าเป็นการเช่า
จะต้องศึกษาต่อไปว่าภาระการลงทุนซื้อรถมาให้เช่าเป็นภาระของผู้ให้เช่าที่จะ
ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย รวมทั้งดอกเบี้ยด้วยตนเอง
แล้วเรื่องอะไรจะต้องให้ ขสมก. ไปแบกรับภาระดอกเบี้ยแทนผู้ให้เช่า
และเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงวิปริตผิดชาวบ้านทั่วไป คือคิดกันถึงร้อยละ
10.25 ต่อปี ที่ขนาดพ่อค้าแม่ค้าตาสาตาสีที่กู้เงินธนาคารยังเสียดอกเบี้ยน้อยกว่า
นี่เป็นรัฐวิสาหกิจสิไม่รู้จักละอาย
ไปทนแบกรับดอกเบี้ยอัตราสูงเช่นนี้ได้อย่างไร

ทั้งแปดประเด็นเหล่านี้คือเรื่องที่จะต้องพิจารณาศึกษาหาข้อยุติและ
ความจริง แต่ถ้าไม่พิจารณาศึกษาในเรื่องเหล่านี้
เอากันแค่ซื้อหรือเช่าก็เข้าทางตามธงที่ขบวนเกี้ยเซี้ยทางการเมืองเขาตกลง
กันไว้

และ เมื่อนั้นแทนที่ผู้คนเขาจะคว่ำโครงการนี้
ที่ยังดึงดันหน้าด้านโกงชาติโกงแผ่นดินกันกลางวันแสก ๆ
ระดับของปัญหาก็จะพัฒนากลายเป็นคว่ำโจรการเมืองโกงชาติไปเลยก็ได้.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000062769

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น