++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"ศ.ดร.อดุล" แจงข้อมูลพื้นฐานละเอียดยิบ! กรณีขึ้นทะเบียนพระวิหาร

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

"ศ.ดร.อดุล" ชี้ชัดเรื่องมรดกโลก ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของยูเนสโก
อัดเจ๋อลงนามเป็นประจักษ์พยาน ระบุ
กลไกกรณีปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกสุดพิลึก! ตั้ง ICC เรียก 6
ชาติจัดระเบียบพัฒนาร่วมแบบไม่มีใครเคยทำ
แฉหมกเม็ดขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเบื้องต้นแบบบิดเบือน
ไม่มีเอกสารจัดการพื้นที่กันชน และไม่มีการพูดถึงพื้นที่กันชนฝั่งไทย

ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเด็นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

โดยศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ผู้เรียบเรียง รับผิดชอบ


1.ข้อกฎหมาย ยูเนสโก และคณะกรรมการมรดกโลกนานาชาติ 21 ประเทศ
ต่างก็เป็นองค์การระหว่างประเทศแยกจากกัน

1.1 ทั้งยูเนสโก และคณะกรรมการมรดกโลกนานาชาติ
ต่างก็เป็นองค์การระหว่างประเทศ ตามความตกลงพหุภาคี ซึ่งจัดตั้งขึ้น
และดำเนินการตามตราสาร

- สำหรับยูเนสโก ตราสาร เรียกชื่อว่า ธรรมนูญ (Constitution)

- สำหรับคณะกรรมการมรดกโลกนานาชาติ ตราสาร เรียกชื่อว่าอนุสัญญา
(Convention)

1.2 การเป็นภาคีสมาชิกยูเนสโก
จึงไม่เป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญามรดกโลก ตัวอย่างเช่น เมื่อ 20
กว่าปีที่แล้ว ที่สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรอังกฤษ
ถอนตัวจากสมาชิกสหภาพยูเนสโก ซึ่งเป็นการประท้วงการดำเนินงานของยูเนสโก
แต่ทั้ง 2 ประเทศนี้ ก็ยังคงเป็นภาคีอนุสัญญา
และเข้าประชุมคณะกรรมการมรดกโลกต่อมาภายหลัง
จึงกลับเข้าเป็นสมาชิกของยูเนสโกอีก ฉะนั้น แม้สมาชิกภาพของ 2 ประเทศนี้
ในองค์การยูเนสโก จะขาดตอนไปในช่วงนั้น แต่การเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญา
ก็ต่อเนื่องตลอดมา

1.3 คณะกรรมการมกดกโลกนานาชาติ
จึงมิใช่เป็นองค์กรภายในยูเนสโกอย่างที่พูดกัน
และเรื่องมรดกโลกไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของยูเนสโกเลย
จะมีแต่เพียงการรายงานอ้างอิงถึงกัน
และในระยะหลังเพื่อสร้างภาพให้แก่ยูเนสโก
จึงมีการนำสัญลักษณ์ยูเนสโกใส่ไว้ด้วยกับสัญลักษณ์มรดกโลก
ในช่วงที่สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรอังกฤษถอนตัวจากยูเนสโก

แต่โดยที่คณะกรรมการมรดกโลกมีความเชื่องโยงกับยูเนสโก
โดยที่ประชุมใหญ่รัฐสมาชิกยูเนสโกได้มีมติรับอนุสัญญา
และสนับสนุนนานาชาติให้เข้าเป็นภาคี
และโดยที่อนุสัญญามีข้อกำหนดให้ยูเนสโกจัดเจ้าหน้าที่ของยูเนสโก
ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ ของคณะกรรมการมรดกโลก
จึงทำให้เกิดความสับสนโดยทั่วไป ให้ดูเหมือนว่า
คณะกรรมการมรดกโลกเป็นภาคส่วนของยูเนสโก

1.4 ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ที่เข้าแทรกแซง
และมีอิทธิพลต่อวิถีทางที่ถูกต้อง ในการวินิจฉัย และดำเนินงาน
ขององค์การระหว่างประเทศ ที่เป็นองค์การชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ เช่น
ยูเนสโก ตลอดจนคณะกรรมการแห่งอนุสัญญามรดกโลกนั้น ในหลักการ
ไม่ควรจะมีเลย แต่ก็มีอยู่เสมอ มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่กรณี
แม้กระทั่งทำผิดข้อบัญญัติอย่างชัดเจนก็มี โดยเฉพาะในกรณีที่จอร์แดน
มิใช่เจ้าของ หรือผู้ถือครองดินแดน ซึ่งทรัพย์สินนี้ตั้งอยู่
แต่คณะกรรมการมรดกโลก โดยเสียงข้างมากผลักดัน
ถึงขนาดทำการประชุมสมัยวิสามัญเพื่อลงมติเรื่องนี้ ตลอดจนยูเนสโก
ก็เป็นผู้จัดการแผนปฏิบัติการเสียเอง
ด้วยเหตุนี้ถือได้ว่าไม่มีรัฐภาคีใดเป็นเจ้าของทรัพย์สินนี้

นอกจากนั้น งานปฏิบัติของยูเนสโกทางด้านวัฒนธรรมในการส่งเสริม
และอนุรักษ์ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม โดยผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายวัฒนธรรม
ไม่ควรทำซ้อนก้าวก่ายงานด้านอสังหาริมทรัพย์
ที่อยู่ในขอบข่ายงานของคณะกรรมการมรดกโลก และในกรณีปราสาทพระวิหารนี้
นางฟรังซัวส์ ริวีเอียร์
ทำอย่างน่าเกลียดในการลงนามเป็นประจักษ์พยานในการแถลงการณ์ร่วมระหว่างเขมร
กับไทย

1.5 การทำความเข้าใจในข้อกฎหมายนี้
และการเมืองระหว่างประเทศอันเป็นตัวแปร ย่อมจะช่วยให้พิจารณาปัญหา
การขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารได้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น

2.ความเป็นจริง และลักษณะ ของการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร
เป็นมรดกโลก โดยกัมพูชา แต่เพียงฝ่ายเดียว

2.1 ฝ่ายที่สนับสนุนกัมพูชาในเรื่องนี้ กล่าวอ้างว่า
การขึ้นทะเบียนตัวปราสาท ไม่กระทบถึงอธิปไตยเหนือดินแดนของไทย
และอ้างว่าก็มีสถานภาพการถือครองตัวปราสาทของกัมพูชาเหมือนกับที่เป็นมา
ตั้งแต่ปี 2505 ที่ไทยมอบการถือครองตัวปราสาทให้กัมพูชาตามคำพิพากษาศาลระหว่างประเทศ
โดยไม่บ่งชี้ว่า ไทยได้ปฏิเสธคำพิพากษาซึ่งผิดข้อกฎหมาย และไม่ยุติธรรม
แต่ไทยต้องจำยอมมอบการถือครองให้กัมพูชา
เพราะส่วนพันธกรณีของไทยในฐานะสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ

ข้อกล่าวอ้างยังมีอีกด้วยว่า
การขึ้นทะเบียนตัวปราสาทโดยกัมพูชาฝ่ายเดียว
ตามร่างข้อมติของคณะกรรมการที่แคนนาดา ทำให้ไทยอยู่ในฐานะดีขึ้น
จากเดิมที่กัมพูชาเคยเสนอขอให้มีเขตพื้นที่คุ้มครอง
และพัฒนานอกตัวปราสาทในดินแดนของไทย

ข้อกล่าวอ้างดังกล่าว เป็นการเบี่ยงเบน
และก้าวข้ามนัยของบริบทในร่างข้อมติของที่ประชุมคณะกรรมที่แคนนาดา
(ซึ่งยังจะต้องผ่านที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง
ในวาระรับรองรายงานการประชุมวันสุดท้าย)
โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงไม่คำนึงถึงข้อบัญญัติของคณะกรรมการมรดกโลก
ที่กำหนดให้ต้องมีเขตกันชน และทำแผนจัดการซึ่งในกรณีนี้ของกัมพูชา
จำเป็นต้องมีเขตกันชนรอบตัวปราสาททางด้านทิศตะวันตก
และทิศเหนือเข้ามาในราชอาณาจักรไทย อย่างหลีกเลี่ยงมิได้

2.2 ตัวปราสาทพระวิหารขณะนี้ อยู่ในสภาพชำรุด เสื่อมโทรมหนัก
อีกทั้งยังตั้งอยู่บนพื้นที่ลาดชัน จึงพังทลายได้ง่าย
การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่กันชนเพียงพอ
แต่จะมีบริเวณกว้างไกลเพียงใดนั้น จะต้องกำหนดไว้ในแผนจัดการ
ซึ่งกัมพูชาจะต้องเป็นผู้จัดทำ ประกอบด้วยเหตุผล
ซึ่งจะต้องนำเสนอคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาเห็นชอบในการประชุมอีก 2 ปีหน้า

2.3 ข้อกำหนดดังกล่าวที่ให้ ต้องมีเขตกันชนเช่นนั้น
ปรากฏตามข้อบัญญัติ 103 และ 104 ของคณะกรรมการมรดกโลก
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาเพื่อการคุ้มครอง
และอนุรักษ์มรดกโลก

2.4 อันที่จริงแล้ว ตามข้อบัญญัติดังกล่าว
ในการเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร ควรต้องมีเขตกันชน
และแผนจัดการพื้นที่รอบตัวปราสาทแนบไปพร้อมคำขอ
ก่อนที่คณะกรรมจะรับเข้าพิจารณา แต่การเมืองระหว่างประเทศ
(ซึ่งไทยมีส่วนร่วมด้วย) ก็เข้ามาแทรกแซง
เพื่อช่วยเหลือกัมพูชาให้ตัดสินปัญหา เฉพาะหน้า
ให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเสียชั้นหนึ่งก่อน
และในขั้นต่อไปถึงจะให้ทำแผนจัดการบริเวณพื้นที่กันชน จากตัวปราสาท
ไปทางทิศตะวันตก และทิศเหนือ ซึ่งเป็นเขตในอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย
รวมทั้งแผนที่ และเอกสารประกอบการเปลี่ยนจากการขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท
นี่เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งภายหลัง ซึ่งข้อนี้ก็มีความปรากฏอยู่แล้ว
ในร่างมติข้อ 15 แต่หลีกเลี่ยงไม่คำนึงถึง จึงเห็นได้ชัดเจนว่า
บิดเบือนประเด็นเพื่อชี้นำว่าเป็นการขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท
โดยไม่มีบริเวณเขตกันชนเข้ามาในดินแดนใต้อำนาจอธิปไตยของประเทศไทย

3.ความพิลึกของกลไกกรณีปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
หากร่างมติข้อ 14 สมจริง จากการรับรองรายงานการประชุมในวันสุดท้าย

3.1 ข้อนี้กำหนดให้กัมพูชาดำเนินการ จัดการประชุมคณะกรรมการ
ประสานงานระหว่างประเทศ เพื่อให้ความคุ้มครอง และพัฒนาแหล่งมรดกแห่งนี้
ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 โดยให้มีผู้ที่ได้รับเชิญเข้าร่วม ประกอบด้วย
รัฐบาลไทย และประเทศผู้มีส่วนได้เสีย อื่นๆ ที่เหมาะสมอีกไม่เกิน 7 ชาติ
เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบ สารัตถะเชิงนโยบายทั่วไป
ที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์คุณค่าสากลอันโดดเด่นของทรัพย์สินนี้
เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการการอนุรักษ์ที่เป็นสากล

ข้อนี้ คงจะมีการบิดเบือนในระยะนี้อีกเช่นกันว่า
เป็นการเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น แต่ความเป็นจริงคือ
รวมถึงพื้นที่เขตกันชนในดินแดนไทยด้วย แน่นอน เนื่องจากตัวปราสาทโดยลำพัง
(ถ้าจะไม่มีเขตกันชนด้านทิศตะวันตก ตลอดถึงด้านทิศเหนือในดินแดนของไทย)
ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะขึ้นทะเบียนได้

3.2 ไม่เคยมีมรดกโลกแห่งใดเลยที่กลไกเช่นนี้เพื่อการอนุรักษ์
กรณีพื้นที่ซึ่งเป็นดินแดนของ 2 ประเทศร่วมกัน อาทิ
แหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติ Iguazu ของอาร์เจนตินา และบราซิล ทั้งๆ
ที่เป็นปัญหาการอนุรักษ์มีมาตลอด และอยู่ในทะเบียนภาวะอันตรายด้วย
หรือในกรณีอธิปไตยซ้อนกันของกรุงวาติกัน ซึ่งเป็นนิติรัฐ
มีอธิปไตยเหนือดินแดนซ้อนอยู่ในใจกลางมรดกโลกเมืองเก่ากรุงโรม ของอิตาลี

3.3 การจะใช้กลไกนี้ต่อประสาทพระวิหาร จะยังผลให้ชาติอื่นๆ อีก 6
ชาติ เข้ามาแทรกแซงปกป้องเขมร
และกดดันประเทศไทยเพื่อใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยซึ่งจะต้องตกเป็นเขต
กันชน ในการนี้ จะต้องมีมาตรการทางกฎหมาย และทางบริหารจัดการ
ซึ่งเขมรเป็นผู้กำหนดไว้ในแผนจัดการ

3.4 ถ้าไม่มีกลไกนี้ ก็จะมีปฏิสัมพันธ์เฉพาะเขมรกับไทย
ซึ่งต้องเจรจาตกลงกันเอง
ประเทศไทยจึงอยู่ในฐานะที่จะต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติได้ดีกว่ามี
อีก 6 ประเทศ มาคอยขวางกั่นประเทศไทย
4.จุดยืนเผชิญหน้าคณะกรรมการต่างชาติเข้าแทรกแซงเขตกันชนในราช
อาณาจักรไทย เราต้องรีบดำเนินการทันที และประกาศ ให้คณะกรรมการมรดกโลก
ยูเนสโก และทุกประเทศได้รับทราบ เป็นทางการดังนี้

4.1 เขตกันชนจากตัวปราสาทด้านทิศตะวันตก ตลอดไปถึงด้านทิศเหนือ
ซึ่งเป็นบริเวณเขตประเทศไทยนั้น ประเทศไทยจะให้จัดทำได้
เฉพาะเพื่ออนุรักษ์ตัวปราสาท ตามพันธกรณีแห่ง
อนุสัญญาโดยให้มีบริเวณเพียงพอสมเหตุ สมผล เท่าที่ไทยเห็นชอบด้วย
เท่านั้น

4.2 นอกบริเวณดังกล่าวตาม 4.1
ประเทศไทยจะไม่ยินยอมให้มีการก่อสร้าง หรือกิจกรรมเพื่อธุรกิจใดๆ
ทั้งสิ้น

4.3 การเยี่ยมชมตัวปราสาท และทัศนียภาพเขาพระวิหาร
ควรต้องเป็นไปเพื่อการศึกษา และชื่นชมคุณค่าดีเด่นของแหล่งมรดกโลกนี้
ซึ่งต้องตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญามรดกโลก
และเมื่อเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมแล้ว ผู้มาทัศนาจรก็ควรกลับไป ทั้งนี้
เพราะการจะนำกิจการบันเทิง หรือธุรกิจอื่นใดเพื่อความสะดวกสบาย
มาเชื่อมโยงกับการเยี่ยมชมแหล่งมรดกโลก อันจะเป็นการแสวงรายได้
จากนักท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุดนั้น
เป็นการสวนทางกับหลักการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก
ซึ่งต้องคำนึงถึงสมรรถนะสภาพตัวปราสาทพระวิหารที่จะรองรับนักท่องเที่ยว
อย่างจำกัด ซึ่งหากเกินควร ก็ย่อมเป็นการคุกคามการอนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร

5. หลังประกาศจุดยืนดังกล่าวข้างต้นแล้ว หากต่อมาปรากฏชัดว่า
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลที่กัมพูชาจัดตั้งขึ้นภายใต้การอุปถัมภ์ของยูเนสโก
ยังคงขวางกั้นเพื่อประโยชน์ของเขมร
จนถึงจุดที่ประเทศไทยควรต้องปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว
(เป็นข้อเสนอแนะสำหรับผู้ที่เคยแสดงความเห็นว่า
ควรถอนตัวจากอนุสัญญามรดกโลก และองค์การยูเนสโก)
ก็ถึงโอกาสอันเหมาะสมที่จะเสริมจุดยืนข้างต้นโดยประเทศไทย
ประกาศถอนการเป็นภาคี อนุสัญญา (Denunciation) ตามบทบัญญัติข้อ 35
แห่งอนุสัญญามรดกโลก ค.ศ.1972 และอาจจะเลยไปถึงการถอนตัวจากยูเนสโก
ด้วยเหตุที่ยูเนสโกจงใจทำการอันเป็นอธรรมเบียดเบียนอธิปไตยของไทย
ทำการนอกหน้าที่เข้าโยงใยเอื้อประโยชน์แก่กัมพูชาโดยชัดแจ้งตลอดมา
ทั้งหมดนี้แม้จะมีผลเสีย อยู่บ้าง
ก็ย่อมสมควรที่จะแลกเปลี่ยนเพื่อรักษาหลักการ และการแสดงความเป็นเอกราช
และอธิปไตยของประเทศไทย ให้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาชาติ
และแก่ประชาชนชาวไทยตลอดไป

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000070892

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น