++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"เชียงคาน"...ตำนานโขง (ฤาแก่งคุดคู้จะเหลือเพียงตำนาน) / ปิ่น บุตรี

โดย ปิ่น บุตรี 3 มิถุนายน 2552 15:53 น.
โดย : ปิ่น บุตรี

แก่งคุดคู้ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเชียงคาน
ปกติ ฟ้าหลังฝนจะสดใส

แต่ในค่ำคืนนี้ไม่ปกติ
ฟ้าหลังฝน(ห่าใหญ่)ริมโขงเมืองเชียงคานจึงหม่นทึบ ไร้เดือน ไร้ดาว
ผสมด้วยสายลมวูบไหวไปจนถึงกระโชกรุนแรงอยู่เป็นระยะๆ

ผมกับเพื่อนอีก 2 หน่วยนั่งหนาวเหน็บสยิวกายตามสายลมอยู่ ณ
ระเบียง เชียงคาน ริเวอร์ วิว เกสเฮาส์ โดยมี อ.จงรักษ์ ทิพรส
เจ้าของที่พักมาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

อันที่จริงผมไม่ได้นอนที่เกสเฮาส์นี้หรอก พักอยู่เกสเฮ้าต์ข้างๆ
เพียงแต่ว่ามาขออาศัยที่กินเหล้าริมโขง เพราะวิวดี บรรยากาศเยี่ยม แถมยัง
"ถูกคอ" กับ อ.จงรักษ์ ทั้งคอบอล(เข้าใจว่าอาจารย์ชอบผีแดงเหมือนกัน)
คอสุราและคอเดียวกันในเรื่องราวที่พูดคุย

นั่นจึงทำให้ค่ำคืนที่ฟ้าหลังฝนไม่ปกติเป็นคืนไม่ปกติของผมด้วย
แถมเรื่องราวที่คุยกันก็เน้นเรื่องไม่ปกติของลำน้ำโขงที่เบื้องหน้าเป็นหลัก

ตำนานลี้ลับ

มันจะด้วยบรรยากาศพาไปหรือยังไงไม่ทราบ
เรื่องราวที่เริ่มต้นสนทนาคืนนี้มันช่างสอดรับกับบรรยากาศของม่านฟ้าที่มาคุ
เหลือใจ เพราะมันเป็นเรื่องราวความลี้ลับในลำน้ำโขงแห่งน่านน้ำเชียงคาน

"ฟ้าน่ากลัวแบบนี้ ลมแรงแบบนี้
คนเฒ่าคนแก่ที่นี่เชื่อว่าวิญญาณในแม่น้ำโขงจะมาเอาชีวิตใครบางคนไปแทนที่
วิญญาณเก่าที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด"

อ.จงรักษ์เปิดประเด็น ก่อนเล่าเรื่องลี้ลับที่พิสูจน์ไม่ได้อีก
2-3 เรื่องให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็น

เรื่องเงือกที่คล้ายผีพรายมาคอยคร่าชีวิตคนริมน้ำโขง

"บางคนอยู่บนฝั่งเฉยๆ แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้เดินหายลงน้ำไปเลย
แถววัดท่าคกกับแก่งคุดคู้นะแรงมาก"

เรื่องผีขนน้ำที่เป็นคนละตำนานกับผีขนน้ำบ้านนาซ่าว(อยู่
ในเชียงคาน)ที่ผมเพิ่งไปชมมาหมาดๆในเช้าวันนั้น(ผีขนน้ำบ้านนาซ่าวเป็นการละ
เล่นในช่วง 1-3 ค่ำ เดือน 6 เพื่อบวงสรวงผีบรรพบุรุษ บูชาบุญคุณวัว ควาย
และให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล)

"มันเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆมีขนสีแดงยาวเต็มตัว
ชอบออกมาเล่นน้ำกับเด็ก ดูไกลๆเหมือนเด็กคนหนึ่ง
พอขึ้นฝั่งมาตัวขนจะเปียกชุ่มเรียกกันว่า"ผีขนน้ำ"ชอบขึ้นไปยืนบนแก่งคุดคู้
พอเรือแล่นผ่านมาก็จะกระโดดหายลงน้ำ
บางคนสงสัยว่านี่อาจจะเป็นลูกเงือกก็ได้"

ระหว่างนี้ฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นเส้นสายแปลกตา
ผมเหลือบไปมองหน้าเพื่อนคนหนึ่งถึงกับแทบผงะ
เพราะหน้าของมัน...ดูๆไปช่างละม้ายคล้ายพี่ป๋อง กพล ทองพลับไม่มีผิด
น่ากลัวจนผมต้องขอเหล้าผสมน้ำเปล่ามากระชุ่นอารมณ์อีก 1 แก้ว
ก่อนไปฟังอาจารย์เล่าถึงตำนานแก่งคุดคู้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเชียงคาน
มีความว่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนายพรานชื่อ "จึ่งขึ่งดังแดง"
ไล่ล่าตามควายเงิน พอถึงริมโขงเห็นควายเงินหยุดกินน้ำ
นายพรานง้างหน้าไม้เตรียมยิง แต่พอดีมีเรือแล่นผ่านมา
ควายเงินตกใจวิ่งหนีขึ้นไปบนภูเขาลูกหนึ่ง ทำให้ภูเขาลูกนั้นชื่อ
"ภูควายเงิน" ส่วนนายพรานโมโหยิงพลาดไปถูกเขาลูกหนึ่งพังทลายลง กลายเป็น
"ภูผาแบ่น"

นายพรานเมื่อพลาดก็โกรธเรือว่าเป็นต้นเหตุ
จึงไปขนหินมาปิดลำน้ำโขงกั้นทางเดินเรือ แต่มีเณรรูปหนึ่งผ่านมาเห็น
จึงออกอุบายให้นายพรานใช้ไม้เฮียะ(ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง)ไปหาบหินแทนจะสะดวกกว่า
นายพรานจึงใช้ไม้เฮียะทำเป็นคานหาบหิน
แต่ว่าหินหนักมากจนคานหักบาดคอนายพรานตายนอนคุดคู้อยู่ตรงนั้น
จึงเรียกแก่งหินนั้นว่า "แก่งคุดคู้"

"แล้วอาจารย์เคยเห็นพญานาคที่นี่มั้ย แม่น้ำโขงเขาบอกมีเยอะนี่"
ผมถามสลับอารมณ์

"ที่นี่ไม่ค่อยมีเรื่องพญานาคเหมือนหนองคาย
แต่ก็มีคนเล่าว่าเคยเห็นรอยบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นตามวัดมากกว่า
แต่ผมเคยเห็นบั้งไฟพญานาคนะ ผมนั่งอยู่ริมน้ำนี่แหละ มีลูกไฟพุ่งขึ้นมา
2-3 ลูก มันนานมาแล้ว แต่ยังจำได้ดี อ้อ?!?
ช่วงนั้นไม่ใช่ช่วงออกพรรษาด้วย" อ.จงรักษ์ ทิ้งระยะชั่วขณะ

"แต่ผมเชื่อว่ามันเกิดจากธรรมชาตินะ
เดี๋ยวนี้ไม่มีบั้งไฟพญานาคขึ้นที่เชียงคานแล้ว
เพราะระบบนิเวศแม่น้ำโขงมันเปลี่ยนไป" อ.จงรักษ์
ยกแก้วขึ้นจิบพร้อมมองออกไปในลำน้ำโขงเบื้องหน้าด้วยแววตาเจือกังวล

ฤาจะเหลือแต่ตำนาน

ดูเหมือนธีมสนทนาของเรื่องยามนี้จะเปลี่ยนจากตำนาน เรื่องเล่าขาน
สนุกๆ เข้าสู่ประเด็นสิ่งแวดล้อมไปโดยอัตโนมัติ

"เดี๋ยวนี้เขาทำกับแม่น้ำโขงอย่างไม่บันยะบันยัง
ทั้งระเบิดเกาะแก่ง ทั้งสร้างเขื่อนในจีน
จนพันธุ์ปลาพื้นถิ่นสูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
เมื่อก่อนมีทั้งปลาบึก ปลาตัวโตๆ เดี๋ยวนี้มันหายไปเยอะมาก
นานๆถึงเจอสักที" อ.จงรักษ์ตัดพ้อ

สำหรับเรื่องสร้างเขื่อนในจีนและระเบิดแก่งนี่ผมได้ข่าวมานานแล้ว
ผลกระทบของมัน ไม่เพียงแต่ปลา พืช สัตว์เท่านั้น แต่คนเล็กๆอย่าง
ชาวประมงพื้นบ้าน คนริมโขง เดือดร้อนกันทั่วหน้า

"นี่ถ้าพญานาคมีจริง มันคงต้องหาที่อยู่ใหม่
เพราะเดี๋ยวเขามาระเบิดบ้านของมัน หรือเกิดซวยถูกระเบิดตาย
หรือถูกกักไว้ในเขื่อนไปไหนไม่ได้" ผมพูดติดตลกเบรกอารมณ์
พร้อมกับนึกถึงเรื่องตลกชั้นเลวเรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือเรื่องที่ภาครัฐของเราบ้าจี้จะสร้างเขื่อนไปกับเขาด้วย
ดังที่มีข่าวโครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงไทย-ลาวออกมาอย่างต่อเนื่อง
โดยก่อนหน้านั้นคือ เขื่อนผามอง จ.เลย
ที่ต้องยกเลิกไปเพราะมีปัญหาเรื่องการย้ายที่ทำกินของชาวบ้าน

ส่วนปัจจุบัน มีโครงการที่จะสร้างอีก 2 เขื่อน คือ เขื่อนปากชม
อ.ปากชม จ.เลย และเขื่อนบ้านกุ่ม อ.โขงเจียม จ.อุบลฯ
ที่เคยถูกเสนอไว้ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2539

โครงการเขื่อนทั้งสองเป็นการกั้นแม่น้ำโขงตอนล่าง
แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและคนเล็กๆริมโขงในบ้านเราเต็มๆ
อีกทั้งจากการวิจัยยังพบว่าอาจทำให้ปลาบึกสูญพันธุ์ได้
เพราะปลาบึกตามธรรมชาติมันจะวางไข่ที่ต้นน้ำ จ.เชียงราย พอเป็นตัวอ่อน
ตัวน้อย จะออกหากินอยู่แถเขมรหรือเวียดนาม
จนกระทั่งโตก็อาศัยอยู่บริเวณที่ลึกๆของแม่น้ำโขงตอนล่างทั่วไป
ถ้ามีการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงตอนล่าง
นั่นเท่ากับปิดเส้นทางของปลาบึกโดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้เท่าที่คุยกับคนในเชียงคาน
ยังมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่าอดีตนายกฯคนหนึ่งก็มาเล็งพื้นที่แถวเชียงคานเพื่อ
ที่จะทำโครงการอุโมงค์ผันน้ำโขงสู่อีสาน ตามนโยบายหาเสียง
แน่นอนว่าผลกระทบก็เกิดกับคนและธรรมชาติแถวนี้อีกเช่นกัน
แต่เดชะบุญ(ของประเทศ)ที่นายกฯคนนั้นต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งไปก่อนด้วย
ความตะกละจากรายการอาหารรายการหนึ่ง

"เขื่อนปากชม คนเชียงคานที่รู้เขาค้านกันมาก เพราะแม้จะสร้างที่
อ.ปากชม ทางใต้(เชียงคาน)ลงไป
แต่หลังสร้างเขื่อนจะมีน้ำท่วมในพื้นที่ทางเหนือปากชมเป็นหมื่นๆไร่
แน่นอนว่าเชียงคานโดนเต็มๆ
งานนี้ถ้าสร้างจริงแก่งคุดคู้โดนน้ำท่วมหมดไม่เหลือแน่"
อ.จงรักษ์เล่าปลุกผมตื่นจากภวังค์

เรื่องนี้ถ้าอนาคตมีการสร้างเขื่อนปากชมจริง
แก่งคุดคู้คงจะกลายเป็นแค่ตำนานของนายพรานจึ่งขึ่งดังแดงเล่าขานให้ลูกหลาน
ฟัง พร้อมกับตำนานอัปยศของการสร้างเขื่อนอีกหนึ่งบทที่ภาครัฐกระทำ
แต่ผู้เดือดร้อนคือระบบนิเวศ ธรรมชาติ และคนตัวเล็กริมฝั่งโขง

ในขณะที่คนตัวใหญ่อย่างนักการเมือง ข้าราชการ
และนายทุนผู้มีเอี่ยวกับโครงการก็คงเหมือนเดิม คือ
คอร์รัปชั่นกันสะดือปลิ้นไปเลย


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000062367

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น