++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เราควรบริโภคน้ำตาลอย่างไรห่างไกลโรค

เราควรบริโภคน้ำตาลอย่างไรห่างไกลโรค

น้ำตาล เป็นสารให้ความหวานที่เราคุ้นลิ้นกันเป็นอย่างดี
ใช้เพื่อการปรุงแต่งรสชาติอาหารให้หอมหวานกลมกล่อมถูกปาก
แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า
ความหวานที่เราติดอกติดใจกันนั้นแม้จะมีประโยชน์แต่ก็มีโทษต่อร่างกายมหาศาล

น้ำตาลทรายขาวที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทำมาจากอ้อย มีประโยชน์ต่อ
ร่างกายในการให้พลังงาน
ซึ่งพลังงานนี้เราได้รับจากคาร์โบไฮเดรตในการรับประทานข้าว
แป้งหรือไขมันอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต่อร่างกาย
แต่รับประทานกันเพราะความพึงพอใจ กินแล้วมีความสุข สดชื่น
ถือเป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของน้ำตาล
ซึ่งหากทานมากเกินไปอาจเกิดโทษต่อร่างกายได้

รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยโภชนาการ
มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าแต่ละวัน
ควรใช้น้ำตาลในการปรุงแต่งรสชาติอาหารไม่เกินร้อยละ 10
ของปริมาณพลังงานทั้งหมด
ตามข้อปฏิบัติการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีจึงแนะนำว่า
ถ้าหากเป็นผู้ใหญ่ควรรับประทานไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา
ส่วนเด็กเล็กไม่เกินวันละ 4 ช้อนชา
โดยเราสามารถคำนวณปริมาณน้ำตาลได้ในการบริโภคของเราได้เองด้วยวิธีง่าย ๆ
ดังนี้

ปริมาณน้ำตาล 1 ช้อนชามี 4 กรัม ให้เราอ่านฉลากโภชนาการ เช่น
ถ้าฉลากระบุน้ำตาล 12 กรัม เท่ากับมีน้ำตาล 3 ช้อนชา
แต่อาหารบางชนิดไม่มีข้อมูลโภชนาการ บอกเป็นค่าร้อยละ เช่น
น้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ถ้าระบุว่ามีน้ำตาล 10 เปอร์เซ็นต์
หมายความว่า 100 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 10 กรัม เมื่อดื่มเครื่องดื่ม 1 แก้ว
(200 มล.) มีน้ำตาล 20 กรัม หรือเท่ากับ 5 ช้อนชา
แค่นี้ก็สามารถคำนวณน้ำตาลในแต่ละวันที่เราจะรับประทานได้แล้ว
ปัจจุบันพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยประมาณ 23 ช้อนชาต่อวัน
(จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ปี 2550 คนไทยบริโภค
น้ำตาลเฉลี่ย ประมาณ 33.2 กิโลกรัม
ต่อคนต่อปี) ถือเป็นปริมาณที่มากเกินกว่าที่แนะนำถึงเกือบ 4 เท่า

ถ้าเรากินน้ำตาลมากเกินความจำเป็นก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาคือฟันผุ
โรคอ้วน และเมื่อทานมากขึ้นจะเป็นโรคเบาหวาน
นอกจากนี้เมื่อน้ำตาลเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมที่เส้นเลือดเกิดอุดตัน
เสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจและสมองขาดเลือด ทำให้หัวใจวาย เป็นอัมพาต
และอาจเกิดความดันโลหิตสูงด้วย
ซึ่งโรคที่กล่าวมานี้ไม่ใช่แค่บริโภคน้ำตาลมากเพียงอย่างเดียว
แต่อยู่ที่การบริโภคอาหารที่ให้พลังงานและไขมันสูงด้วย เช่น
อาหารที่หวานจัด มันจัด เค็มจัด และไม่ออกกำลังกาย

เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงน้ำตาลหรือลดจำนวนน้ำตาลลง อาจารย์แนะนำว่า
ควรดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ไม่เติมน้ำตาลในอาหาร
จะช่วยลดปริมาณน้ำตาลได้มากทีเดียว
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถควบคุมการรับประทานหวานได้หรือเป็นโรคเบาหวาน
อาจใช้น้ำตาลเทียมแทนเนื่องจากมีพลังงานน้อยแต่ให้ความหวานใกล้เคียงน้ำตาล
ควรรับประทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น เช่น ฝรั่ง มะละกอ ส้ม
หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานมาก ๆ เช่น ทุเรียน ขนุน
เหนือสิ่งอื่นใดเราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5
หมู่ในปริมาณที่เพียงพอและหลากหลาย
หมั่นดูแลน้ำหนักตัวและออกกำลังกายเป็นประจำ
แค่นี้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงก็จะอยู่กับเราไปอีกนาน.


from dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น