++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เวทีนโยบาย:ปณิธานบำนาญแห่งชาติ

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ 1 มิถุนายน 2552 15:15 น.
การออมนับเป็นคุณลักษณะนิสัยพึงปรารถนาสำหรับทุกสังคม
โดยเฉพาะสังคมสูงอายุที่รายได้ระหว่างคนร่ำรวยหยิบมือกับคนจนข้นแค้นจำนวน
มหาศาลแตกต่างกันนับสิบๆ หลัก

การเพียรผลักดันระบบบำนาญแห่งชาติจึงเป็นทางออกหนึ่งนอกเหนือจากการ
ออมโดยความสมัครใจของปัจเจกไว้ใช้ในยามชราไม่สามารถทำงานได้
หากกระนั้นในการก่อตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.)
สำหรับบังคับใช้กับแรงงานในระบบและนอกระบบเป็นหลักก็ยัง
'เกาไม่ถูกที่คัน' นัก
เนื่องจากจำกัดกลุ่มเป้าหมายไว้แค่แรงงานในและนอกระบบ
ไม่ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงจะจนเจ็บตอนแก่เฒ่า เช่น
แม่บ้าน ผู้พิการ ว่างงาน หรือทำงานไม่เป็นหลักแหล่ง

ทั้งยังไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 84 (4)
ที่กำหนดให้รัฐบาลต้องส่งเสริมให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการออมในรูป
แบบต่างๆ เพื่อการดำรงชีพยามชราอย่างทั่วถึง
เพื่อรองรับโครงสร้างประชากรที่มีจำนวนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นและอายุขัยยืนยาว
ขึ้นด้วย

ประชาชนทุกคนจึงควรได้รับสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานจากรัฐเหมือนกัน
โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นแรงงานในหรือนอกระบบอย่างที่พยายามดำเนินการอยู่ในนาม
กบช.

ทั้งนี้ สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นมีกลไกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
(กบข.) ดูแลเรื่องบำเหน็จบำนาญและสวัสดิการเพื่อรองรับสมาชิกชราภาพดีเลิศอยู่แล้ว
ต่างจากประชาชนทั่วไปที่ไม่มีแม้แต่สวัสดิการในวัยไม้ใกล้ฝั่งอันเนื่องมา
จากอำนาจเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ จำกัดค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ผ่านวัยแรงงานมาโดยไม่ได้ทำงานเนื่องจากความบกพร่อง
ทางร่างกาย

กลไกการออมที่ออกแบบมาเฉพาะแรงงานจึงไม่อาจตอบโจทย์ทั้งของประเทศที่
ทวีผู้สูงวัยอย่างรวดเร็ว
และรัฐบาลที่ต้องแบกรับภาระการเงินการคลังหนักหน่วงถ้าไม่อาจขับเคลื่อนการ
ออมเพื่อเป็นหลักประกันยามชราภาพแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง
รวมทั้งยังเสี่ยงภาวะล้มละลายสูงมากจากจำนวนเงินบำนาญที่ต้องจ่ายจริงเมื่อ
ถึงกำหนดเวลา และการขาดธรรมาภิบาลด้านการบริหารจัดการเหมือนดังหลายกองทุนที่นำเงินสมาชิก
มาลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงสูงจนขาดทุนย่อยยับ

ฉะนั้น กบช.
จึงเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของระบบบำนาญแห่งชาติที่เข้ามาอุดจุดอับด้อยของกอง
ทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ
และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ไม่อาจรองรับความต้องการมากมายในอนาคต
ด้วยแม้แต่แรงงานในระบบก็มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ได้รับบำนาญชราภาพ
เพราะจำนวนไม่น้อยที่จ่ายเงินแก่ประกันสังคมโดยสมทบร่วมกับนายจ้างแต่มีระยะ
เวลาทำงานไม่ถึง 15 ปี ท้ายสุดก็หมดสิทธิการได้รับบำนาญจากประกันสังคม

รัฐบาลจึงต้องสร้างกลไกการสมทบออมและการจ่ายบำนาญพื้นฐานสำหรับ
ประชาชนที่ออมกับ กบช.
โดยยอดรวมของบำนาญที่ผู้เกษียณอายุได้รับนั้นจะแปรผันตามปริมาณการออมที่
ผ่านมาของประชาชนในกองทุนฯ
บวกกับบำนาญที่รัฐบาลสัญญาว่าจะให้และดอกผลตอบแทนการลงทุน
ตลอดจนสมาชิกกองทุนฯ ยังควรได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ
ตามระบบบำนาญแห่งชาติที่ออกแบบไว้ ไม่ว่าจะเป็นเงินฌาปณกิจสงเคราะห์
เงินบำเหน็จตกทอด และเงินบำนาญทุพพลภาพ ด้วย

อย่างไรก็ดี ถึงจะเป็นการออมภาคบังครับ
หากทว่ารัฐบาลก็ควรสร้างแรงจูงใจแก่ประชาชนด้วยการเปิดกว้างด้านทางเลือกของ
การลงทุนทั้งแบบเสี่ยงต่ำผลตอบแทนต่ำดังการซื้อพันธบัตรรัฐบาล
และเสี่ยงสูงผลตอบแทนสูงอย่างการลงทุนในบรรษัทต่างๆ
โดยต้องกำชับประชาชนที่เป็นสมาชิกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควร
ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
เพื่อจะได้พิจารณาผลตอบแทนที่คาดหวังกับความเสี่ยงสูงควบคู่กันไป
ก่อนเลือกทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่คาดหวังสูงสุดโดยมีความเสี่ยงต่ำสุด

ประสิทธิภาพ
ในทางเลือกของการลงทุนจึงไม่ได้ขึ้นกับนโยบายคณะกรรมการบริหาร
กบช.เพียงลำพัง หากอำนาจยังอยู่ที่ประชาชนส่วนหนึ่งด้วยว่าจะลงทุนในทางเลือกที่มีความ
เสี่ยงสูงหรือน้อยตามกฎ High Risk High Return

ขณะที่ระบบบำนาญแห่งชาติจะแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะไม่เพียงครอบคลุมประชากรทั้งหมด ยกเว้นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มี กบข.
คอยดูแลอยู่แล้วเท่านั้น
ทว่ายังมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้แก่ประชาชนวัยเกษียณ
ไม่ให้มีคุณภาพชีวิตเสื่อมทรุดเมื่อเข้าสู่ภาวะทุพพลภาพหรือไม่มีรายได้
ในขณะเดียวกันก็คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วยการใช้
'เงินออมอนาคตของตนเอง' ในช่วงวัยแรงงานมาใช้ในบั้นปลายชีวิต
โดยมีรัฐสนับสนุนสมทบที่ไม่ใช่การแจกฟรีเหมือนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ที่ถึงปัจจุบันนี้ก็ไม่เป็นไปตามคำมั่นสัญญาของฝ่ายการเมืองว่าจะให้คนแก่
เฒ่าทุกคนได้รับถ้วนหน้า

การออมเพื่ออนาคตตามระบบบำนาญแห่งชาติจึงสลัดภาพการแบมือขอรอรับของ
ผู้สูงวัยไทยได้ เท่าๆ
กับขจัดปัญหามาตรฐานการคัดเลือกผู้สูงอายุยากจนข้นแค้น
และการกระจุกตัวของเงินสงเคราะห์นี้ในหมู่เครือญาติผู้มีอำนาจท้องถิ่นได้
ด้วย

การเริ่มต้นออมอนาคตตั้งแต่วัย 20 ปีบริบูรณ์
โดยมีกฎกติกาการออมและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเกษียณชัดเจน เช่น
ช่องทางมากมายในการออมนับแต่หักเงินออมกรณีเป็นผู้ประกันสังคม
ออมกับกองทุนสวัสดิการชุมชนและสหกรณ์ที่ขึ้นทะเบียนกรณีเป็นสมาชิก
หรือจ่ายผ่านร้านสะดวกซื้อและธนาคารกรณีเป็นแม่บ้านหรือผู้ประกอบการอิสระ
และสำหรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอนอย่างเกษตรกรก็เลือกสมทบออมได้โดยจ่ายครั้ง
เดียวในรอบปี ขณะที่ส่วนใหญ่ต้องออมทุกเดือน
แต่ไม่จำเป็นต้องออมเท่ากันทุกเดือน ทว่าอย่างต่ำ 50 บาท/เดือน
ส่วนกรณีที่อยู่ในสภาวะยากไร้ขัดสนจนไม่อาจออมได้
รัฐก็จะเข้ามาสนับสนุนออมช่วงวิกฤตนั้นด้วยการจ่ายคนละครึ่งระหว่างรัฐบาล
กลางกับท้องถิ่น

อนึ่งถ้ารัฐไม่เร่งส่งเสริมการออมเสียแต่เดี๋ยวนี้
จะต้องแบกรับภาระมหาศาลนับแสนล้านบาทอีกราว 40
ปีข้างหน้าจากการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาท/คน/เดือน
การสร้างสรรค์ทางเลือกอย่างระบบบำนาญชราภาพที่ไม่ใช่แค่
กบช.จึงเสริมสร้างศักดิ์ศรีความเป็นผู้สูงวัยไทยให้สามารถภาคภูมิใจในการยืน
หยัดบนลำแข้งตนเอง ไม่เป็นภาระลูกหลาน ชุมชน และสังคม ด้วยมีรายได้มั่นคง

กระนั้นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างระบบบำนาญแห่งชาติ
หรือกระทั่งสับเซ็ต เช่น กบช. ก็คือต้องปลอดการแทรกแซงทางการเมืองมากสุด
เพราะยิ่งมีเงินเยอะยิ่งหอมหวานสำหรับนักการเมืองมาตอมไต่
ไม่เท่านั้นการบริหารจัดการต้องยึดมั่นหลักธรรมาภิบาล
โดยเฉพาะความซื่อสัตย์อย่างเคร่งครัด
มิโอนอ่อนต่อกิเลสของการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงสูงเพียงเพื่อหวังกอบ
โกย

อีก ทั้งการบริหารไม่อาจมองมุมเศรษฐศาสตร์เพียงหนึ่งเดียว
ต้องอิงแอบกับคุณค่าหลากประการด้วยกันนับแต่ความกตัญญูกตเวทีผู้สูงวัยที่ทำ
ประโยชน์ต่อประเทศชาติช้านาน
จนถึงนโยบายแบบมีส่วนร่วมที่ดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมวางแผนออมอนาคต
ชีวิตตนเอง

แน่ละว่าคนทั่วไปย่อมไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางคำนวณเทียบเท่ากับ
กระทรวงทบวงกรมการเงินการคลัง ทว่าการวางแผนชีวิตโดยการออมเงินของประชาชน
ที่ถึงจะจำแนกเป็นแรงงานในและนอกระบบตามแบบ
กบช.ก็ยังเรียกร้องการมีส่วนร่วมคิดร่วมสร้างร่วมทำจากผู้มีส่วนได้เสีย
(Stakeholders) มากกว่าจะคิดกันในหมู่ผู้รู้ที่มีอำนาจบังคับผ่านกฎหมายได้

การเปิดเวทีประชาพิจารณ์แจงข้อดี-เสีย ข้อคิดเห็น-ข้อเท็จจริง
เพื่อรังสรรค์การออมอนาคตทั้งของตนเองและสังคมไทยร่วมกันจึงสำคัญยิ่งยวด
ยิ่งกว่านั้นการบริหารจัดการระบบบำนาญแห่งชาติบนหลักธรรมาภิบาลจะสร้าง
คุณลักษณะนิสัยการเก็บหอมรอมริบที่มีคุณค่าต่อระดับปัจเจกและประเทศชาติจาก
การมีเงินออมระยะยาวในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งยังเคลื่อนรัฐสวัสดิการ
(Social welfare) ให้เป็นไปได้จริงในสังคมไทยด้วย
ถ้าระยะยาวสามารถดำเนินการปรับฐานภาษีจากแคบเป็นกว้างเพื่อจะปรับเงินสมทบ
จากรัฐมากขึ้นจนเพียงพอพยุงชีวิตชราลำเค็ญแค้นที่มีมหาศาลได้
ให้วันวัยลำบากยากแค้นของคนเฒ่าคนแก่ทั่วผืนแผ่นดินไทยเป็นเพียงภาพหลอน
ของอดีต

ยุทธศาสตร์ และพันธกิจของ
กบช.ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบบำนาญชราภาพจึงควรสะท้อน
'ปณิธานบำนาญชราภาพ'
ที่ส่งเสริมให้ผู้สูงวัยไทยทุกคนมีศักดิ์ศรีและหลักประกันด้านรายได้ในยาม
เรี่ยวแรงร่วงโรยทำมาหากินไม่ได้.

เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000061339

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น