++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พรรคฯ ในระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ

โดย ดร.ป. เพชรอริยะ


ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมนักเขียน นักคิด ท่านแรก คือ คุณปราโมทย์ นาครทรรพ
ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ซึ่งเราเคยคุยกันทางโทรศัพท์ ท่านที่สอง คือ
ท่าน ดร.อมร จัทรสมบูรณ์ ผู้เขียนได้เคยนำเสนอแนวคิดเรื่อง
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ณ ห้องประชุมแห่งหนึ่งใน ม.ธรรมศาสตร์
เมื่อหลายปีมาแล้ว และท่านที่สาม ท่านศาสตราจารย์พันเอก (พิเศษ) ชวัติ
พิสุทธิพันธ์ ท่านนี้รู้จักกันดีกับผู้เขียนเป็นอย่างดี
ท่านเป็นนายทหารประชาธิปไตยแท้ๆ เป็นนักสู้อย่างสันติ
เป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อย เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของกองทัพ ทั้ง 3
ท่านที่กล่าวมาถือได้ว่าเป็นบุคลากรที่ยอดเยี่ยมของชาติ ผู้เขียนถือว่า
"เป็นพันธมิตรฯ โดยธรรม"

ขออนุญาตยกเอาข้อเขียนบางตอนของ คุณปราโมทย์ นาครทรรพ ที่ยกมาจาก
Manager Online ผู้เขียนอ่านแล้วมีความเห็นถูกต้อง
มีคุณค่าสำคัญยิ่งในทางการเมือง และรัฐศาสตร์ เป็นปัญญาที่จะ
ข้ามพ้นแนวคิดนรกที่ครอบงำประเทศไทย ผ่านพ้นไปได้ "โดย
เฉพาะกฎหมายเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่บังคับให้สังกัดพรรค
เพื่อกวาดต้อนผู้แทนเข้าคุก และขายกันทั้งคอกยิ่งกว่าวัวควาย (28 พ.ค.
52) อีกข้อความหนึ่ง "กรอบความคิดเรื่องผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคจึง
กลายเป็นศาสนาของการเมืองไทย ทั้งๆ ที่มีข้อเท็จจริงว่า
ไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลกเชื่อหรือกระทำเช่นนั้นเลย"

"การ บังคับให้
ส.ส.สังกัดพรรคเท่ากับการทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานทางการเมือง
ความเป็นจริงของสังคมไทย
ทำให้การเมืองตกอยู่ใต้อำนาจผูกขาดของเผด็จการและนายทุน" (31 พ.ค. 52)
และความเห็นสุดท้าย"การที่คนไทยมองไม่เป็น หรือไม่เห็นปัญหานี้
ก็เพราะความล้มเหลวของการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเรียนการสอนในคณะนิติศาสตร์
และคณะรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยของเราที่ต่ำกว่ามาตรฐานสากล
การเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาของเราได้สอนนักศึกษาของเราทั้งประเทศอย่างผิดพลาดไม่ตรงความจริง
(reality) ตลอดมา

ดังนั้น ความ เห็นของผู้เขียน
เป็นความรับผิดชอบของวงการนิติศาสตร์
และวงการวิชาการที่ปล่อยให้คนไทยทั่วไปเรียก "ระบบเผด็จการ"
โดยพรรคการเมือง (นายทุนธุรกิจ)
ประเทศเดียวในโลกนี้ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย"
...จะขอแถมความคิดของพันเอกชวัติ ว่า
"ประชาชนชาวไทยเหมือนคนหลงทางอยู่กลางทะเลทราย
และเดินหลงทางไกลออกไปทุกทีจากแหล่งน้ำ คือ
ความไพบูลย์ของประเทศชาติและประชาชน เพราะมีภาพลวงตามิอาจทำให้เขว
คิดว่าดินแดนแห่งความตายที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นคือแหล่งน้ำ ตลอด 77
ปีที่ผ่านมา ประชาชนถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อว่าประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูญ
ที่ประชาชนยังไม่สามารถเป็นเจ้าของอธิปไตยได้โดยแท้จริงนั้น เป็น
"ปัญหาทางรัฐธรรมนูญ" ยิ่งสาละวนแก้รัฐธรรมนูญก็ยิ่งสิ้นเนื้อประดาตัว
เป็นการฝังศพให้กับตัวเอง" (4 มิ.ย. 52)

ผู้ปกครองไทยนับแต่คณะรัฐประหารคณะแรกที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร
ได้ทำรัฐประหาร (Coup d'état) ยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
รัชกาลที่ 7 เมื่อ 24 มิถุนายน พ. ศ. 2575
คณะราษฎรนี้มีความมุ่งหมายอย่างแรงกล้าที่ให้มีธรรมนูญการปกครอง
ตามหลักฐานที่ปรากฏ โดยคณะราษฎรมีหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ความตอนหนึ่งว่า ...คณะราษฎรไม่ประสงค์ที่จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด
ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน...
ผู้เขียนจะไม่ตำหนิคณะราษฎรเลย เพราะท่านไม่ได้โกหก
และบิดเบือนว่ายึดอำนาจเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย

แต่ต่อมาคณะผู้ปกครองรุ่นหลังๆ ต่างก็บิดเบือน
ครอบงำเพื่อความชอบธรรมให้แก่ตนว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันแท้ที่จริงที่ปรากฏคือคณะผู้ปกครองไทยชุดแล้วชุดเล่า
ไม่เคยสักครั้งเดียวที่จะมีสร้างระบอบประชาธิปไตย
พวกเขาโง่งมงายอยู่ในวังวนในวงจรนรก ยกร่างรัฐธรรมนูญ
โดยโฆษณาชวนเชื่อว่าการสร้างรัฐธรรมนูญ
นั่นก็คือการสร้างระบอบประชาธิปไตย มีแต่คณะผู้ปกครองไทยประเทศเดียวในโลก
ที่โง่งมงายและบิดเบือนโฆษณาชวนเชื่อ ให้เชื่ออย่างนั้น

จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี หนึ่งในคณะราษฎร
ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญใหญ่ขึ้นกลางใจเมืองกรุงเทพมหานครแล้วตั้งชื่อว่า
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ครอบงำ บิดเบือนโง่เขลาเบาปัญญา
ตามคำโฆษณาชวนเชื่ออย่างผิดๆ แม้กระทั่ง ศาสตราจารย์ ดร.
อาจารย์ในมหาลัยทั้งหลาย ก็ไม่ได้ฉุกคิดกันเลย
แต่คนมีปัญญารู้จริงหาได้เชื่อ และสั่งสอนเช่นนั้นไม่ การสอน
การเขียนว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย ย่อมเป็นอาชญากรทางปัญญา
โดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัว

แท้จริง การเป็นพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
มีศักยภาพสูงกว่าพรรคที่จดทะเบียนกับกลไกรัฐ แต่พวกเขากลับมีความเห็นผิด
คิดผิด และทำผิด ซ้ำรอยเดิมตลอดมา 77 ปี

พรรคคณะราษฎร ถือว่าเป็นพรรคโดยธรรมชาติหลังเปลี่ยนการปกครอง
มีอำนาจมาก ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้สำเร็จ
แต่กลับไปสร้างระบอบรัฐธรรมนูญ

คณะรัฐประหาร นับแต่คณะราษฎร และคณะรัฐประหารต่างๆ เช่น 1.
พ.อ.พระยาพหลฯ ทำการรัฐประหาร (20 มิ.ย.2476) 2. พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ
และคณะนายทหารบก ทำการรัฐประหาร (8 พ.ย. 2490) 3. จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ทำการรัฐประหาร (29 พ.ย. 2494) 4. จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการรัฐประหาร
(16 กันยายน 2500) 5. จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหาร (20 ตุลาคม
2501) 6. จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหาร (17 พฤศจิกายน 2514) 7.
พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ทำการรัฐประหาร (20 ตุลาคม 2520) 8. พล.อ.สุนทร
คงสมพงษ์ ทำการรัฐประหาร (23 กุมภาพันธ์ 2534) 9) และคณะรัฐประหาร
ล่าสุดนำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (19 กันยายน 49) เหล่านี้
ล้วนเป็นพรรคโดยธรรมชาติ ไม่ได้ไปจดทะเบียนกับใคร

ปรากฏว่าทุกครั้งที่มีรัฐประหารเกิดขึ้นใหม่ๆ ประชาชน
และสื่อต่างๆ มักจะชื่นชม และจบลงด้วยการสาปแช่ง ทั้งนี้
เพราะยึดอำนาจจากการปกครองแบบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ
แล้วคณะรัฐประหารทุกคณะก็กลับมาสร้างรัฐธรรมนูญ
คือสร้างระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ซ้ำรอยเดิมๆๆ อยู่ร่ำไป
แสดงให้เห็นว่า ประชาชนไม่พอใจการปกครองของทุกรัฐบาลไม่ว่าจะมาจาก
การเลือกตั้ง หรือรัฐประหาร ก็ตาม

ทั้งนี้ เพราะสภาพที่แท้จริง สภาพที่มันดำรงอยู่จริงๆ
มันเป็นระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ หรือเผด็จการโดยกฎมาย
เราจึงเห็นได้ว่า ทั้งพรรคโดยธรรมชาติ และพรรคที่จดทะเบียนกับหน่วยงานรัฐ
และพรรคทั้งหลายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ล้วนเป็นพรรคที่มีความเห็นผิด
เห็นรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย
มีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์ของความคิดทางการเมืองซึ่งเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายกาจ
จึงกลายเป็นพรรคการเมืองที่ขึ้นปกครองแล้วทำลายชาติให้ประเทศของเราทรุดต่ำ
ลงๆๆๆๆ อย่างน่าเสียดายที่สุด ทั้งนี้เพราะความเห็นผิด คิดผิด ทำผิด
นั่นเอง

พรรคโดยธรรมชาติ ที่มีความเห็นผิดอีกฝ่ายหนึ่ง คือ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พรรคนี้ได้สร้างความปั่นป่วนสะเทือนแผ่นดิน
ทำสงครามก่อการร้าย นับแต่ พ.ศ. 2508 -2512
และได้ยกระดับเป็นสงครามกลางเมืองระหว่าง 2512-2525
แต่ก็ยังมีซากเดนเคลื่อนไหวให้เห็นอยู่อย่างเปิดเผยในกลุ่มเสื้อแดง
ทั้งนี้ก็เพื่อจะรื้นฟื้นสงครามกลางเมืองขึ้นมาใหม่
เพราะเห็นทางว่าจะเป็นไปได้
ทั้งนี้เพราะความโง่เขลาของผู้ครองที่เห็นผิดเห็นระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย

สงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ สิ้นสุดลงด้วยพรรคโดยธรรมชาติ
เช่นกัน นำโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยการปฏิบัติตามนโยบายประชาธิปไตย
ในนาม คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ถ้าไม่มีนโยบายนี้
อาจจะเป็นไปได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยชนะเช่นเดียวกับในประเทศลาว
ในเวียดนาม และพรรคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นรัฐบาลอยู่นานร่วม 8 ปี
โดยไม่ได้จดทะเบียน และลงเลือกตั้งเลย
นี่เป็นความยิ่งใหญ่ของพรรคโดยธรรมชาติที่ถูกต้อง ในช่วงหนึ่ง

พรรคพันธมิตรฯ (โชคดีที่ยังไม่จดทะเบียน)
เป็นพรรคการเมืองโดยธรรมชาติในแนวทางที่ถูกต้อง
จะต้องคิดแก้ไขปัญหาพื้นฐานของชาติ
ชี้ให้เห็นถึงสภาพที่แท้จริงของประเทศว่าเป็นระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ
ด้วยการนำเสนอ หลักการปกครองโดยธรรม เพื่อความมั่นคง
ก้าวหน้าสูงสุดของชาติ หลักการปกครองโดยธรรม
จะเป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ
จะเป็นศูนย์กลางของรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายหลัก และกฎหมาย
คำสั่งอื่นใดทั้งหมด ฉันใด ดุจดัง ดวง สุริยัน เป็นศูนย์กลางจักรวาล
หรือใจบริสุทธิ์ เป็นศูนย์กลางของชีวิตมนุษย์ ฉันนั้น
ขอบอกว่าง่ายนิดเดียว ถ้าพรรคพันธมิตรฯ จะชนะอย่างยิ่งใหญ่
แล้วจะบอกให้ในภายหลัง

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000064299

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น