++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ลมหายใจ..พร้อมหมดไปทุกเมื่อ....เรื่องจากวินาทีชีวิต

ลมหายใจ..พร้อมหมดไปทุกเมื่อ....เรื่องจากวินาทีชีวิต


"ชีวิต" เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ เพราะเราไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า
วินาที นาที วัน เดือน หรือปีต่อไปจากนี้
อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราบ้าง

ในวันนี้ เราอาจจะกำลังยิ้ม หัวเราะ อย่างมี "ความสุข" แต่ในวันถัดไป
เราอาจจะต้องร้องไห้ "ทุกข์ระทม" ก็ได้

สุดจะ "หยั่งรู้" ได้จริงๆ!!!

เฉกเช่น ชีวิตของสาวใบหน้าคม "เอ๋" นางสาวฐานิตา จันทร์ภิวัฒน์ อายุ 25 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว หัวใจของเธอกำลังเบิกบาน
ภาคภูมิใจกับความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ เธอกำลังเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร
ในฐานะบัณฑิตเกียรตินิยม อันดับ 1 คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาเคมี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารธนบุรี

ความฝันอันสวยงาม กำลังรออยู่เบื้องหน้า ทว่า....เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

"โครม!!!"

เสียงรถเก๋งกับรถจักรยานยนต์ที่ฐานิตานั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลังประสานงากันอย่างแรง

"วันนั้น เอ๋จำได้ดี ตรงกับวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2551
หลังจากซ้อมรับปริญญา เอ๋นัดกับเพื่อนจะไปถ่ายรูปกันต่อที่เขาดิน
แต่เอ๋ขอกลับไปเอาของที่หอพักก่อน พอเอาของเสร็จก็ขับรถกลับมหาวิทยาลัย
ระหว่างทางมีรถเก๋งคันหนึ่งมาจากไหนไม่รู้ ขับตรงมาที่รถของเอ๋
วินาทีนั้น รู้ตัวเลยว่า ต้องชนแน่ๆ และยังไม่ทันตั้งตัว รถก็ล้มลง
เอ๋ร่วงลงมานอนกองกับพื้น และรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่หนักมากๆ
มาทับหน้าอก ร้อนมาก ตอนนั้นคิดในใจ ฝันหรือเปล่า แต่พอรวบรวมสติได้
มันคือความจริง! และก่อนจะวูบหายไป สติสุดท้ายบอกกับตัวเองว่า
จะเป็นอะไรมากไม่ได้ เดี๋ยวอีก 2-3 วันจะต้องรับปริญญา ต้องหาย
ต้องไปรับปริญญา"

ฐานิตาถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาทันที หลังจากประสบอุบัติเหตุถูกรถทับ
บาดเจ็บสาหัสกระดูกซี่โครงหักแทงปอด
กระดูกเชิงกรานและกระดูกไหปลาร้าข้างซ้ายหัก

โอกาสรอด...ริบหรี่

"ก่อนเข้าห้องผ่าตัด หมอมาคุยกับพ่อแม่ให้ทำใจ เพราะมีโอกาสรอดเพียง 20
เปอร์เซ็นต์เท่านั้น"

ทั้งที่อีกเพียง 5 วัน
จะเป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีของเธอผู้เป็นบุตรสาวคนแรกของครอบครัว
ทว่า...วันนั้นมิอาจมาถึง
มีเพียงเสียงร้องไห้ระงมของครอบครัวจันทร์ภิวัฒน์

"ในความฝัน มีคนมาช่วยเอ๋เยอะมาก พวกเขาพยายามสวดมนต์ ทำทุกอย่างให้เอ๋ตื่น"

แต่จะด้วยปาฏิหาริย์มีจริง
หรือเพราะกำลังใจอันเข้มแข็งที่ไม่ยอมเป็นอะไรง่ายๆ ของเธอ
อุบัติเหตุครั้งนี้ จึงเป็นเพียงเหตุการณ์ "เฉียดตาย" เท่านั้น!

"ตอนตื่นขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าอาการหนักแค่ไหน เพราะไม่มีใครบอก
เอ๋ก็คิดแค่ว่า รถชนธรรมดา ไม่เป็นอะไรมาก อีก 2-3 วันก็หาย
ไปรับปริญญาได้แล้ว"

เธอคิดในแง่ดี ทั้งที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 2 ครั้ง
โดยครั้งแรกผ่าตัดเอากระดูกที่แทงปอดออกและเอาปอดที่ช้ำออกบางส่วน
ส่วนครั้งที่ 2 เจาะเอาน้ำในปอดออก
อีกทั้งยังอยู่ในสภาพที่ต้องนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเพราะตั้งแต่ต้นคอลงไปจนถึงหน้าอกไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
แขนข้างขวาไร้ความรู้สึก มีสายออกซิเจน สายระบายของเสียระโยงระยางเต็มตัว
ตามเนื้อตัวมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ
ดวงตาแดงก่ำเพราะรถทับจนเส้นเลือดฝอยแตกทั้งหมด

เธอคิดในแง่ดี ทั้งที่ในวันพระราชทานปริญญา เธอต้องนอนแซ่วอยู่โรงพยาบาล
ในขณะที่เพื่อนๆ รวมทั้ง "คนที่ขับรถทับเธอ"
ซึ่งเป็นหนึ่งในบัณฑิตที่จบการศึกษาปีเดียวกัน
ยิ้มแช่มชื่นเข้ารับปริญญา...

"เสียใจนิดหน่อยค่ะ ที่ไม่ได้รับปริญญาพร้อมเพื่อนๆ แต่ไม่ได้รับปีนี้
ปีหน้าก็รับได้ เอ๋ไม่โกรธคนขับรถชนเอ๋ เพราะเขาก็คงไม่ได้ตั้งใจ
และถ้าคิดในแง่ดี เหตุการณ์นี้ มันทำให้รู้ว่ามีคนรักเอ๋เยอะมาก
ขอบคุณน้ำใจดีๆ จากญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง
หรือแม้แต่คนที่เอ๋ไม่รู้จัก ที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ"

กำลังใจดีแบบนี้ เพียง 10 วันหลังผ่าตัด
เธอก็สามารถลุกขึ้นนั่งรับประทานอาหารเองได้ ถัดมาอีก 2
อาทิตย์ก็เริ่มทำกายภาพบำบัด และกลับบ้านพักฟื้นหลังจากอยู่โรงพยาบาลนาน
1 เดือน ใช้เวลารักษาตัวอีกครึ่งปีก็หายเป็นปกติ

และในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง
ฐานิตาในชุดครุยสีแดงเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ด้วยใบหน้าสดใส แม้จะต้องรับกับรุ่นน้อง แต่เพื่อนๆ
รุ่นเดียวกันก็มาแสดงความยินดีกับเธอล้นหลาม

รอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะ หวนกลับคืนมาอีกครั้ง

"ปริญญาใบนี้ แลกมาด้วยชีวิตจริงๆ ก่อนวันที่พิธีจะเริ่มขึ้น กลัวมาก
กลัวจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่พอผ่านไปได้ด้วยดี โล่งใจมากๆ"

ฟ้าหลังฝนมักแจ่มใสเสมอ .. ซึ่งก็พอๆ กับชีวิตของฐานิตาตอนนี้ เกรดเฉลี่ย
3.50 ระดับเกียรตินิยมของเธอ
ทำให้เธอได้รับทุนเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์
ภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

"อนาคตอยากเรียนต่อถึงระดับปริญญาเอก แล้วมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
สอนวิชาเคมีที่เอ๋รัก" บอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะทิ้งท้ายว่า

"ดีใจที่ได้มีชีวิตอยู่อีกครั้งหนึ่ง ชีวิตมีค่าขึ้นเยอะมาก
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้รู้ว่า
ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอนจริงๆ ถ้ามีสิ่งดีๆ
ที่อยากทำก็ให้เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราในวันข้างหน้า"

บทเรียนของเธอทำให้เข้าใจได้ว่า "ชีวิตคน มีดี มีร้าย คละเคล้ากันไป"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น