++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"สงครามคีเลชั่น" งานนี้คนป่วยมีมึน!

"สงครามคีเลชั่น" งานนี้คนป่วยมีมึน!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 มิถุนายน 2552 07:31 น.
เป็นเรื่องที่
ค่อนข้างอยู่ในกระแสของผู้ที่สนใจข่าวสารด้านสุขภาพเลยทีเดียว
สำหรับข้อขัดแย้งระหว่างคณะกรรมการคัดกรองศาสตร์แพทย์ทางเลือก
กับกลุ่มแพทย์ผู้มีความเชื่อว่า การรักษาแนวทางเลือกที่เรียกว่า
"คีเลชั่นเทอราพี" สามารถรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมไปถึงโรคอื่นๆ ได้

คีเลชั่นเทอราพี หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "คีเลชั่น"
ที่อาจจะคุ้นหูสำหรับผู้ที่สนใจศาสตร์การแพทย์ทางเลือก
หรือผู้ที่ติดตามข่าวสารด้านสุขภาพอยู่เป็นประจำ
หากแต่คงมีประชาชนอีกไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าเจ้า "คีเลชั่น" นี้คืออะไร


-1ฝ่ายค้าน-


นพ.วิชัย โชควิวัฒน
ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดกรองศาสตร์แพทย์ทางเลือก อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ
ว่า คีเลชั่นไม่ใช่ของใหม่ในวงการแพทย์
มันไม่ได้ถูกใช้สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ
หากแต่เป็นวิธีที่ถูกคิดขึ้นเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีโลหะหนักสะสมอยู่มากในร่างกาย

"ผู้ป่วยด้วยอาการมีพิษโลหะหนักในร่างกาย
มักจะพบในผู้ที่ทำงานเหมืองแร่
เพราะเศษขี้แร่มันจะปะปนออกมาอยู่ในสิ่งแวดล้อม ในอากาศ ในน้ำ ในอาหาร
ในพืชที่ปลูกไว้ในพื้นที่ อย่างที่เป็นข่าวที่คนงานเหมืองคลิตี้
จ.กาญจนบุรี มีป่วยด้วยพิษโลหะหนักประเภทตะกั่วในร่างกาย
หรือในภาคเหนือตามเหมืองแมงกานีส หรือที่อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช
ที่คนงานเหมืองป่วยด้วยพิษสารหนู"

นพ.วิชัยอธิบายต่อว่า สำหรับผู้ป่วยประเภทดังกล่าว
แพทย์จะใช้วิธีคีเลชั่นในการรักษา โดยวิธีการนี้แพทย์จะวิธีการฉีดสารชื่อ
EDTA หรือ ethylene diamine tetraacetic acid
เข้าไปทางหลอดเลือดดำเพื่อให้สารชนิดนี้
ไปจับกับโลหะหนักและขับออกทางปัสสาวะ
ซึ่งการนำวิธีคีเลชั่นมารักษาพิษโลหะหนักนี้ไม่อันตราย
และเป็นการรักษาทั่วไปที่ถูกต้องและใช้กันมานานแล้ว

"ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า
มีแพทย์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่ามันใช้รักษาโรคอื่นได้ด้วย
โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจ
ซึ่งแพทย์กลุ่มนี้เชื่อว่าคีเลชั่นจะช่วยขับแคลเซียมที่เกาะอยู่ที่ผนังหลอด
เลือดหัวใจทำให้หัวใจอุดตันให้ออกมากับปัสสาวะเช่นเดียวกับที่มันสามารถจะ
ขับโลหะหนักออกมาได้"

ประธานคณะกรรมการคัดกรองศาสตร์แพทย์ทางเลือกระบุว่า
แนวคิดที่ว่านี้ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศ
แต่ที่สหรัฐอเมริกาก็กำลังประสบปัญหาแพทย์และผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยใช้คีเล
ชั่นเป็นทางเลือกรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ
เนื่องจากการรักษาโรคนี้ตามหลักแล้วจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเปิดช่องอก
แพทย์ที่ทำจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสูงมาก
และผู้ป่วยก็จะต้องถูกผ่าตัด เจ็บตัว และพักฟื้นนาน
แต่การรักษาด้วยวิธีทางเลือกด้วยคีเลชั่น
แพทย์ที่รักษาด้วยวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาก
และผู้ป่วยก็ไม่ต้องผ่าตัดเปิดช่องอก

"หมอที่จะทำคีเลชั่นนั้นเป็นหมออะไรก็ได้
เพราะไม่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ แค่ฉีดสารเข้าไปในหลอดเลือดดำเท่านั้น
ที่อเมริกาเขาก็เจอปัญหานี้
คือหมอและผู้ป่วยเลือกที่จะใช้คีเลชั่นเป็นทางเลือกรักษาหลอดเลือดหัวใจ
และมีมากจนขนาดที่องค์กรด้านสุขภาพของเขาต้องออกมาทำวิจัยในเรื่องนี้ว่ามัน
ปลอดภัยและได้ผลจริงหรือไม่
ซึ่งจากการศึกษาของเราไม่พบว่ามีสถาบันสุขภาพระดับชาติใดของอเมริกา
ที่จะรับรองการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยการทำคีเลชั่นเลย
ทั้งสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาหรือสถาบันสุขภาพแห่งชาติของเขา"

นพ.วิชัยให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า
แต่ในเมื่อมีผู้ป่วยและแพทย์เลือกวิธีนี้ในการรักษาหลอดเลือดหัวใจเป็นจำนวน
มาก ทางสหรัฐอเมริกาโดยกรมสอบสวนการวิจัยด้านสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริกา
อันเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือสูง
ก็ได้ทำการสอบสวนข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับการทำคีเลชั่น ก็พบว่า
ไม่มีหลักฐานที่ใช้แล้วได้ผล
หนำซ้ำบางรายยังเกิดอาการแทรกซ้อนจากการนำไปใช้ด้วย คือเกิดภาวะไตวาย
และรวมถึงอาการแพ้อื่นๆ หลายอย่าง
สหรัฐอเมริกาจึงออกบทสรุปของการนำคีเลชั่นไปใช้เป็นแนวการรักษาทางเลือกของ
โรคหลอดเลือดหัวใจว่า
เป็นการรักษาที่ยังไม่รับรองความปลอดภัยและไม่รับรองว่าได้ผล

"แต่จากที่มีประชาชนสนใจใช้มาก เขาก็ทำการศึกษาวิจัย
เป็นการวิจัยขนาดใหญ่ ทำมาตั้งแต่พ.ศ.2546 เป็นการวิจัยระบบ
Randomization Double Blind
คือเชิญอาสามัครที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเข้ามา
แล้วอธิบายว่ามีการรักษาทางเลือกแบบคีเลชั่น ที่เป็นแนวใหม่
ไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็มีความเสี่ยง และอาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผล
ยังไม่มีข้อสรุป"

หากอาสาสมัครตกลงทดลองการรักษาแนวนี้ ก็จะนำตัวไปรักษา
แต่ยาที่ฉีดเข้าไปจะมีทั้งยาจริงและยาหลอกที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้
โดยผู้ป่วยรวมถึงแพทย์ผู้ให้ยาก็จะไม่ทราบว่าอันไหนยาจริง อันไหนยาหลอก
เพื่อป้องกันอคติทางการรักษา
และเพื่อให้ผลการวิจัยเป็นไปแบบเที่ยงตรงที่สุด
ซึ่งอาสาสมัครที่รับการรักษานี้จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา"

สำหรับในประเทศไทย
นพ.วิชัยให้ภาพการเข้ามาของคีเลชั่นเพื่อการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจว่า
เริ่มเห็นบ้างประปรายเมื่อราวปีพ.ศ.2549 แต่ขณะนั้นยังไม่แพร่หลายนัก
แต่ในระยะหลังเริ่มจะนิยมมากขึ้น
ซึ่งการเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
เนื่องจากโลกยุคนี้เป็นโลกยุคโลกภิวัฒน์
การนำส่งข้อมูลข่าวสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมีความนิยมในฝั่งตะวันตก ก็ใช้เวลาไม่นานที่จะเข้าประเทศไทย

"ใน ไทยก็มีเหมือนกันที่ว่าทำแล้วไม่ได้ผล เสียเงินเสียทอง
เพราะราคาค่อนข้างสูง ทำครั้งละเป็นพันถึงเป็นหมื่นบาท
และเวลาทำต้องทำเป็นคอร์ส บางครั้งเสียไปเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่ได้ผล
มีคนมาพูดให้ฟังเหมือนกัน
แต่เขาก็ไม่ได้ร้องเรียนเพราะเหมือนเขาเสียรู้ไปแล้ว
ทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกก็เชิญผมมาเมื่อ 3-4
เดือนก่อน ให้ผมมาช่วยดูหน่อย ซึ่งผมก็ยินดี"

นพ.วิชัยเล่าต่อว่า หลังจากรับงานก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ
ซึ่งการเน้นไปในด้านการตรวจสอบเอกสาร หลักฐานการวิจัยต่างๆ
และพบว่ามีทำมากพอสมควร แต่เราไม่มีตัวเลขว่ามากน้อยเท่าใด
แต่ที่ทราบคือมีทำทั้งในโรงพยาบาลของรัฐบาลและโรงพยาบาลเอกชน

"ในไทยหากจะมีการทำ ผมคิดว่าแพทย์ต้องแฟร์กับคนไข้
ต้องให้ข้อมูลให้ชัดเจนว่ามันยังไม่เป็นที่รับรองผลว่าจะได้ผลหรือไม่
และเป็นวิธีที่มีความเสี่ยง
ให้คนไข้รับทราบและตกลงยินยอมรับการรักษาเสียก่อน
และที่สำคัญคือในเมื่อวิธีนี้ยังไม่รับรองว่าได้ผลและปลอดภัย
แพทย์ผู้ใช้วิธีนี้ในการรักษา
ไม่ควรเรียกเก็บค่ารักษาจากการรักษาด้วยวิธีนี้"

นพ.วิชัยยังทิ้งท้ายอีกด้วยว่า
แม้จะมีการกล่าวอ้างผลงานวิจัยและเอกสารข้อมูลเชิงวิชาการต่างๆ
จากกลุ่มแพทย์ที่เชื่อว่าคีเลชั่นสามารถรักษาหลอดเลือดหัวใจได้
แต่ในวงการแพทย์ทราบกันดีว่าเอกสารการแพทย์หรืองานวิจัยในวงการนี้จะมีการ
แบ่งระดับความน่าเชื่อถือ
และยืนยันว่าเอกสารที่แพทย์กลุ่มนี้นำมาแสดงนั้นเป็นเอกสารงานวิจัยที่จัด
อยู่ในอันดับที่ไม่น่าเชื่อถือเลย


-2ฝ่ายหนุน-


และในขณะที่ นพ.วิชัย
ออกมายืนยันว่าคีเลชั่นเป็นวิธีที่ความเสี่ยงและยังไม่ได้รับการรับรองจาก
สถาบันใดๆ ว่าได้ผลจริงนั้น
กลุ่มแพทย์ผู้เชื่อว่าคีเลชั่นไม่อันตรายและมีประโยชน์ต่อคนไข้ อย่าง
"นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล" แห่งสถานบำบัดโรคแนวทางเลือกอย่าง "บัลวี"
ก็ได้ออกโรงคัดค้านการแถลงข่าวของนพ.วิชัย อย่างทันควัน
โดยส่งหนังสือชี้แจงผ่านไปยังสื่อหลายสำนักอย่างเผ็ดร้อน ความว่า

"นับเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าจะด่วนสรุปเช่นนั้น
ด้วยความเคารพและห่วงใยต่อท่านเป็นส่วนตัว และต่อสังคมไทยอันเป็นส่วนรวม
ผมจำเป็นต้องเสนอข้อมูลต่อไปนี้เพื่อการพิจารณาครับ
ผมเชื่อว่าผู้รักสุขภาพสมัยนี้ไม่ใช่คนไม่มีหัวคิด
ที่จะถูกบุคคลภาครัฐพูดเพียงไม่กี่คำก็เชื่อซะแล้ว
เพราะมิฉะนั้นการแพทย์ทางเลือกในโลกคงไม่เติบใหญ่กระทั่งทุกวันนี้"

นพ.บรรจบกล่าวโดยอ้างข้อมูลอ้างอิงจาก Am. J. Cardiol.;jk
คีเลชันใช้รักษาพิษโลหะหนักตั้งแต่ปีค.ศ.1940 แต่พอถึงปีค.ศ.1950
นพ.นอร์แมน คลาร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยรพ.โปรวิเดนซ์
ที่มิชิแกนก็พบว่าการรักษาพิษตะกั่วด้วยวิธีนี้ทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการปวด
เค้นอกเพราะหัวใจขาดเลือดดีขึ้นด้วย และในค.ศ.1960 คลาร์กและโมเชอร์
ตีพิมพ์ผลการรักษาโรคกลุ่มหัวใจหลอดเลือดด้วยคีเลชั่นกับผู้ป่วยจำนวน 283
คนเป็นเวลา 4 ปี พบว่า 87% ดีขึ้น

"ตำราแพทย์ว่าด้วยคีเลชัน(Textbook - the Secientific Basis of
EDTA Chelation Therapy) โดยบรู๊ซ ฮาลสเตด ได้ตีพิมพ์เมื่อค.ศ.1979
และใช้เป็นตำรามาตรฐานของวงการนี้ มันมีขนาดความหนาเท่ากับฮาร์ริสัน
(Harrison) ซึ่งเป็นตำรามาตรฐานของอายุรศาสตร์ของการแพทย์แบบแผน
ปีค.ศ.1984 ดร.แครนตัน
แพทย์ผู้โดดเด่นและเป็นกรรมการแพทยสภาที่สหรัฐฯได้เขียนหนังสือวิชาการระดับ
ประชาชนชื่อ ทางลัดเพื่อเลี่ยงบายพาส (Bypassing Bypass)
กล่าวถึงผลดีของคีเลชั่นที่ทำให้ลดความจำเป็นของการทำบายพาส
หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ไปแล้ว 165,000 เล่มจำหน่ายไปทั่วโลก"

นพ.บรรจบยังได้อ้างถึงงานวิจัยกรณีการใช้คีเลชั่นในการรักษาโรคต่างๆ
อาทิ เบาหวาน คลอเลสเตอรอล และอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง
ที่มีในเอกสารวิชาการต่างๆ อื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งได้ตั้งข้อสังเกตว่า
ในไทย กองแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก
ได้มีคำสั่งมอบอำนาจเป็นลำดับชั้นเพื่อจัดให้มีการศึกษาอบรมแพทย์คีเลชั่น
ออกมาเป็นรุ่นๆ มาตั้งแต่พ.ศ.2550 ปีที่ผ่านมา
โดยเป็นความร่วมมืออย่างเป็นทางการกรมแพทย์ทางเลือกของประเทศไทยกับสถาบัน
ทางออสเตรเลีย โครงการนี้ได้ผลิตแพทย์คีเลชั่นมากว่า 200 คนแล้ว
แพทย์เหล่านี้มีทั้งภาครัฐและเอกชนและได้เปิดให้บริการอยู่ทั่วประเทศในขณะ
นี้ เพราะฉะนั้นจะกล่าวหาว่าแพทย์เหล่านี้ซึ่งผ่านหลักสูตรของกระทรวงเองว่า
กำลังทำเวชปฏิบัติที่มั่วนิ่ม ไร้สถาบัน ไร้งานวิจัยย่อมเป็นไปไม่ได้

"แต่ที่น่าแปลกใจคือคณะกรรมการคัดกรองศาสตร์แพทย์ทางเลือก
ที่แต่งตั้งโดยอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก
เมื่อธันวาคม 2551
จู่ๆก็แถลงข่าวในเชิงลบล้างผลงานของกรมตัวเองที่ดำเนินงานมากว่า 2 ปีแล้ว
ชาวบ้านตาดำๆก็งงเป็นไก่ตาแตกซิครับ"
นพ.แห่งบัลวีรายนี้กล่าวผ่านแถลงการณ์ของตนเอง

ด้านสมาคมการแพทย์คีเลชั่นแห่งประเทศไทยเองก็ไม่นิ่งเฉย
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมาก็ออกมาแถลงข่าวโต้นพ.วิชัยในประเด็นที่คล้ายกับที่นพ.บรรจบ
โต้มาแล้วก่อนหน้านี้ โดย "นพ.บัญชา แดงเนียม"
ในฐานะคณะกรรมการสมาคมการแพทย์คีเลชั่นแห่งประเทศไทยได้หยิบยกประเด็นการขาด
ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์ทางเลือกในกลุ่มคณะกรรมการคัดกรองศาสตร์ฯ
ทำให้ขาดความเชี่ยวชาญในการพิจารณา
และได้เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนบุคคลากรในกลุ่มกรรมการฯ ดังกล่าวนี้
พร้อมกับเรียกร้องให้มีเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านคีเลชั่นและภาคประชาชน
เข้าไปเป็นกรรมการร่วมด้วย

"มีงานวิจัยและเอกสารทางวิชาการมากมายที่ระบุว่าการทำคีเลชั่น
ช่วยรักษาอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจได้ รวมถึงโรคอื่นๆ ด้วยทั้งเบาหวาน
ความดันโลหิต อาการอ่อนเพลียอื่นๆ รวมถึงการปรับสมดุลร่างกาย มันเป็นการ
Detox อย่างหนึ่ง ในไทยยังไม่เคยมีคนไตวายจากการทำคีเลชั่น
ในต่างประเทศพบบ้างแต่น้อยมาก สัดส่วนเป็นหมื่นๆ คนจะพบสัก1-2คนเท่านั้น"
นพ.บัญชากล่าว

แต่ในขณะที่แขกรับเชิญให้มาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้กับสมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย
อย่าง "นพ.ชัชดนัย มุสิกไชย"
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจเองก็ยังยอมรับว่าการทำคีเลชั่นมีความเสี่ยง
และยังไม่มีการรับรองว่าวิธีการรักษาชนิดนี้จะได้ผลแน่นอนหรือไม่

"ใน ฐานะแพทย์โรคหัวใจนะครับ
ก็คงเช่นเดียวกับแพทย์ด้านนี้ท่านอื่นๆ
คือทุกคนรอผลงานวิจัยของอเมริกาที่จะออกในปีหน้า
ที่จะฟันธงว่าการรักษาแนวนี้ได้ผลหรือไม่อย่างไรและมีความเสี่ยงหรือไม่
ซึ่งตอนนี้ก็ยังรออยู่ครับ ไม่มีใครพูดอะไรในเรื่องนี้
และในโรงเรียนแพทย์ก็พูดถึงคีเลชั่นเพื่อการรักษาภาวะพิษโลหะหนักสะสมอัน
เป็นวิธีการรักษาแบบมาตรฐานเท่านั้น แต่ในบริบทอื่น
ในโรงเรียนแพทย์ไม่มีการพูดถึงครับ" นพ.ชัชดนัยกล่าว

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000071436

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น