++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การเมืองล้มเหลวสู่รัฐล้มเหลว

โดย สิริอัญญา


ในบ้านเมืองของเรานี้เคยมีคนกล่าวขวัญเกี่ยวกับเรื่องการเมืองล้มเหลวมา
บ้างแล้ว และก็มีการกล่าวขวัญเกี่ยวกับเรื่องรัฐล้มเหลวมาบ้างแล้ว
แต่ดูเหมือนว่ายังห่างไกลจากความจริง
ดังนั้นคนทั้งหลายจึงไม่ใคร่ให้ความสนใจ
คำกล่าวขวัญในเรื่องดังกล่าวจึงดูเหมือนจะค่อยๆ เลือนหายไป

แต่มาบัดนี้ได้ตรองดูสถานการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมืองของเราแล้ว
ได้กระตุ้นน้ำใจลึกให้รู้สึกว่าคำกล่าวขวัญที่ว่านั้นมันไม่ได้ห่างไกลตัว
เราเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
หากรู้สึกประหนึ่งว่ามันอยู่ใกล้ตัวแค่เอื้อมมือถึงเท่านั้นเอง

เมื่อ มีความรู้สึกดังนี้ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องบอกกล่าวให้พี่น้องร่วมชาติได้
ร่วมกันพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นมาและเป็นไปในบ้านเมืองของเราว่า
การเมืองบ้านเรานั้นล้มเหลวหรือไม่
และมันได้ทำให้ประเทศไทยหรือรัฐไทยล้มเหลวหรือไม่

ในเบื้องแรก มาดูกันว่าการเมืองบ้านเราล้มเหลวหรือไม่?

ในเรื่องการเมืองที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดคือการเมืองเป็นเรื่องของ
อำนาจและผลประโยชน์ที่เริ่มต้นจากการเลือกตั้ง
จากเลือกตั้งก็มาสู่การบริหารบ้านเมือง
จากการบริหารบ้านเมืองก็กลับไปสู่การเลือกตั้งอีก
เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้แล้วยึดถือกันว่านี่คือประชาธิปไตย

ยึดถือกันแต่วัฏจักรเช่นนั้นแล้วละทิ้งอย่างสิ้นเชิงถึงเป้าหมายแท้
ของประชาธิปไตย ที่ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชนจนหมดสิ้น

ในท่ามกลางวัฏจักรเช่นนั้น หากดำเนินไปด้วยความโปร่งใส
สุจริตและเที่ยงธรรม ย่อมให้ผลิตผลที่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง
คือความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎร
และความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง

ความ จริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราในวันนี้
มีข้อเท็จจริงที่อุดมสมบูรณ์ที่ใครๆ
ก็รู้เห็นเป็นอย่างดีว่าวัฏจักรดังกล่าวนั้นสกปรกโสโครกโสมม ทุจริตฉ้อฉล
คดในข้อ งอในกระดูกสักเพียงใด

การเลือกตั้งเต็มไปด้วยการทุจริตที่สุดจะคิดสรรหามาใช้กัน
จนกลายเป็นการทุจริตที่พิสดารพันลึกที่สุดในโลก
เพราะไม่มีมนุษยชาติใดในโลกนี้ที่จะสรรหาวิธีโกงการเลือกตั้งได้อย่าง
มหัศจรรย์ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน
และทุกกระเบียดนิ้วเหมือนที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเรา

มีทั้งการซื้อเสียงเลือกตั้ง มีทั้งการขนคนเหมือนวัวควายไปลงคะแนน
มีทั้งการปลอมบัตร มีทั้งการปลอมตัวเปลี่ยนชื่อคนไปเลือกตั้ง
มีทั้งการโกงนับคะแนน มีทั้งการซื้อกรรมการการเลือกตั้งระดับต่างๆ
กระทั่งโกงการประกาศผล

การ เลือกตั้งแบบนี้ได้ให้ผลิตผลคือสัตว์โลกชนิดหนึ่งซึ่งไร้จิตวิญญาณของความ
เป็นมนุษย์และความเป็นผู้แทนของปวงชน
ที่ไม่รู้บาปบุญคุณโทษหรือผิดชอบชั่วดีใดๆ
และสัตว์โลกชนิดนี้แหละที่จะไปทำหน้าที่ออกกฎหมายและเลือกผู้บริหารบ้าน
เมือง

จากนั้นก็จะเป็นการตั้งรัฐบาลซึ่งต้องใช้เงินซื้อกันอีก
คือซื้อเสียงซื้อมือที่ยกให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงมิใช่ผู้แทนของปวงชน
หากเป็นผลิตผลของสัตว์โลกชนิดที่ว่านี้เท่านั้น
และจะต้องยอมอยู่ในอำนาจของสัตว์ชนิดนี้ดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะพ้นไปจากอำนาจ

จากนั้นก็เป็นการต่อรองซื้อตำแหน่งรัฐมนตรีกัน
ตลอดจนถึงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ
เพื่อประกอบกันขึ้นเป็นคณะผู้บริหารบ้านเมือง
ดังนั้นคณะผู้บริหารบ้านเมืองแบบนี้จึงเป็นเพียงแค่สัตว์โลกชนิดเดียวกัน
เพราะมีเหตุปัจจัยที่มาอย่างเดียวกัน

เมื่อ มาประกอบกันเข้าเป็นรัฐบาลแล้ว
ก็ทุจริตฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินต่อไป
เพื่อแสวงหาทุนรอนไปใช้ในการเลือกตั้งเพื่อจะกลับเข้ามามีอำนาจอีกต่อไป
ทำให้วัฏฏะแห่งความชั่วร้ายก่อตัวขึ้นครบวงจรอย่างสมบูรณ์

การใช้อำนาจรัฐปล้นสะดมประเทศชาติและประชาชนได้สร้างความร่ำรวย
มหาศาลจนกลายเป็นกิจการของครอบครัว
แล้วดึงเอาวงศาคณาญาติตลอดจนพวกพ้องเข้ามาเสพครองอำนาจและผลประโยชน์ที่ปล้น
ชาติปล้นประชาชนนั้นจนอิ่มเอมเปรมปรีดิ์
แล้วเกิดเป็นระบบธุรกิจการเมืองแบบครอบครัวขึ้น

ธุรกิจการเมืองแบบครอบครัวได้ขยายตัวจากวงศาคณาญาติและพวกพ้องกว้าง
ออกไปๆ จนเลยเขตแดนของเขตเลือกตั้ง ครอบคลุมไปทั้งจังหวัดแล้วยังไม่พอ
ยังขยายลามไปยังเขตพื้นที่กระทั่งเป็นภาค
จนบางคนลำพองคะนองพูดว่าจังหวัดนี้เขตนี้ภาคนี้เป็นของกู
จังหวัดโน้นเป็นของพวกกู เป็นต้น

การ เมืองแบบนี้จึงเป็นการเมืองที่ล้มเหลว
เพราะบรรดาเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงคือประชาชนนั้นได้หมดสภาพจากความ
เป็นคนลงไปทุกที กลายเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ในเวลาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
และเป็นสินค้าที่มีอายุสั้นเพียงแค่ 4 นาที แค่ชั่วกาบัตรเท่านั้น
หลังจากนั้นก็กลายเป็นทาสหรือสัตว์เดรัจฉานไปเลย

เพราะความทุกข์ร้อนอันใดก็ไม่มีใครเห็นว่าเป็นความทุกข์ร้อนของคนอัน
พึงจะได้รับการเยียวยาแก้ไข
ความยากจนอันใดก็ไม่มีใครเห็นว่าเป็นความลำเค็ญของคน

ดังนั้นความยากจนขาดแคลนและล้าหลังจึงแผ่ขยายกระจายไปทั่วทั้งประเทศ

สภาพการเมืองแบบนี้นี่แหละคือการเมืองที่ล้มเหลว หรือใครจะว่าไม่จริง?

สภาพที่ล้มเหลวนั้นกำลังเน่าเฟะและผุพังลงเต็มที
เพราะเมื่อพูดถึงการเมืองในวันนี้ แม้จะมีคำไทยใช้ได้หลายคำ
แต่ก็ใช้อยู่จำเพาะเจาะจงไม่กี่คำ คือนักการเมืองชั่ว นักการเมืองโกง
นักการเมืองปล้นชาติ นักการเมืองขายชาติเท่านั้น
ไม่มีคำไทยอื่นใดที่ใช้กับนักการเมืองในปัจจุบันนี้

ในประการถัดมา
การเมืองที่ล้มเหลวนี้ได้ทำให้บ้านเมืองของเรากลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวหรือไม่?

โคลนตมอันสกปรกโสมมแม้สามารถให้กำเนิดดอกบัวอันบริสุทธิ์และสูงส่ง
สำหรับบูชาพระรัตนตรัยได้ก็จริงอยู่ แต่การเมืองหาใช่โคลนตมไม่
หากเป็นความสกปรกโสมมล้มเหลวที่ไม่มีวันให้ผลิตผลเป็นดอกบัวได้เลย

เหตุปัจจัยเป็นเรื่องชั่วช้าสารเลว ทุจริตฉ้อฉล ปล้นชาติ
ปล้นแผ่นดิน ไหนเลยจะให้ดอกผลที่งามงดและเป็นประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์หรือความ
เจริญรุ่งเรืองของบ้านเกิดเมืองนอนของเราได้

ผลธรรมดาธรรมชาติหรือสามัญผลของการเมืองที่ฉ้อฉลปล้นชาติปล้นประชาชน
จึงมีสถานเดียวเท่านั้น คือความพินาศยับเยินของบ้านเมืองและราษฎร

ใน วันนี้ความจริงก็ปรากฏชัดเจนและเป็นพยานหลักฐานที่อุดมสมบูรณ์
ปราศจากข้อสงสัยใดๆ
อีกแล้วว่าการเมืองที่ล้มเหลวซ้ำซากยาวนานกำลังทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐ
ที่ล้มเหลว

ล้มเหลวอย่างไรเล่า?

ประการแรก
ล้มเหลวในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ชีวิตของคนไทยในวันนี้ไม่ต่างกับผักปลาที่จะถูกฆ่าฟันทำร้ายหรือปล้นชิงวิ่ง
ราวที่ไหนเมื่อใดก็ได้
อาวุธสงครามและเครื่องมือประหัตประหารเพื่อนร่วมชาติเกร่อเกลื่อนไปทั้งบ้าน
ทั้งเมือง การปล้นชิงวิ่งราวเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ประหนึ่งว่าบ้านเมืองไร้ขื่อแป ไร้ผู้ดูแลกฎหมายให้มีความศักดิ์สิทธิ์

ไม่ต้องพูดถึงชีวิตเลือดเนื้อของพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่กลายเป็นผักปลาอยู่ในวันนี้

รัฐมีหน้าที่ประการแรกสุดคือการดูแลคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตร่าง
กายและทรัพย์สินของประชาชน
เมื่อทำหน้าที่นี้ไม่ได้ก็ต้องกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว

ประการที่สอง ล้มเหลวในการสร้างความอยู่ดีกินดีแก่ประชาชน
แผ่นดินเต็มไปด้วยคนอดอยากยากแค้นแสนเข็ญ
จนราษฎรถึงกับต้องกราบทูลถวายฎีกาต่อองค์พระประมุขแทบไม่เว้นในแต่ละวัน
เพียงเพื่อขอรับพระราชทานความช่วยเหลือให้ได้มีชีวิตอยู่เหมือนผู้คนเขาเท่า
นั้น

ความไม่เป็นธรรม การเอารัดเอาเปรียบ
การทุจริตข่มเหงรังแกในการทำมาหากินแผ่ซึมซาบซ่านไปทั้งแผ่นดิน
เสียงอาณาประชาราษฎรไม่ได้รับการใส่ใจดูแล ความยากจนข้นแค้นแผ่กระจายไป
จนเกิดคำว่า "รวยกระจุก จนกระจาย" ดังที่รู้ๆ กันอยู่

ประการที่สาม ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมเสื่อมสิ้นไปจากแผ่นดินแล้ว
ในวงการศาสนาก็มีอลัชชีและพวกปาราชิกดาษดื่น
ในวงราชการก็เต็มไปด้วยพวกกังฉิน ที่จ้องกินเลือดกินเนื้อประชาชน
ในกระบวนการยุติธรรมก็บังเกิดนักขายความยุติธรรมดาษดื่นมากขึ้น
ความกลัวชั่ว กลัวบาปสูญสิ้นไปจากใจคนแล้ว
นี่คือสิ่งสะท้อนสุดท้ายของความล้มเหลวในแผ่นดินโดยที่หามีผู้ใดใส่ใจแก้ไข
ฟื้นฟูไม่

เอาแค่สามประการอันเป็นหน้าที่สำคัญ ของรัฐ
ก็เห็นได้แล้วว่าการเมืองที่ล้มเหลวได้ทำให้รัฐล้มเหลวด้วย
แล้วเราจะอยู่กันในท่ามกลางความล้มเหลวนี้ได้อย่างไร?
นั่นก็คือถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นทดแทนสิ่งที่ล้มเหลวเน่าเฟะ
ที่เป็นอยู่นี้.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000068773

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น