รายงานพิเศษโดย....สุกัญญา แสงงาม
"นโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ไม่ฟรีจริงนี่หว่า
โรงเรียนยังเรียกเก็บค่าโน่นค่านี่ รวมๆ กันก็หลายพันบาท"
"ไม่เห็นค่าใช้จ่ายลดลงเลย แถมยังจ่ายสูงกว่าปีก่อน
โรงเรียนอ้างสารพัด "พิเศษ" สอนพิเศษ กิจกรรมพิเศษ จ้างครูต่างชาติ"
"เปลี่ยนชื่อนโยบายเรียนฟรี 15 ปี
เป็นนโยบายช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา 15 ปี
ดีกว่าหลอกประชาชนว่าฟรี
ความหมายตามพจนานุกรมของราชบัณฑิตฟรีต้องไม่เสียสตางค์"
นี่คือ เสียงบ่นของผู้ปกครองโทรมาโวยวายที่สายด่วน 1579 จนสายแทบไหม้
เสียงสะท้อนนโยบายเรียนฟรี 15 ปี "ไม่ฟรีจริง" เริ่มหนาหู
กระทั่งผู้บริหารฝ่ายการเมืองนั่งไม่ติดเก้าอี้
ขอความร่วมมือฝ่ายข้าราชการประจำโยนหินถามทางว่าหากจัดการศึกษาฟรีแบบไม่
เก็บเงินแม้แต่บาทเดียว รัฐบาลต้องควักกระเป๋าเท่าไหร่
ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
เลือกโรงเรียน 3 แห่งคือ ร.ร.จันทร์หุ่นบำเพ็ญ ร.ร.สวนอนันต์ และ
ร.ร.พุทธจักรวิทยา นำร่องการศึกษาฟรีแบบผู้ปกครองไม่ต้องจ่ายสตางค์
โดยเบื้องต้นเติมเงินให้โรงเรียนใช้บริหารสถานศึกษาละ 2 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นโยบายนี้จะออกมานั้น "ร.ร.ทีปังกรวิทยาพัฒน์
(ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมป์"จัดให้นักเรียนเรียนฟรีมา 3 ปีแล้ว
"ชัยอนันต์ แก่นดี" ผอ.ร.ร.ทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา)
ในพระราชูปถัมภ์ เล่าให้ฟังว่า เข้ารับตำแหน่งในปี 2549
ตอนนั้นโรงเรียนมีเด็กไม่กี่ร้อยคนและเกือบ 100%
ฐานะยากจนหรือมีรายได้รวมกันทั้งครอบครัวไม่ถึง 6 หมื่นบาทต่อปี
รวมทั้งจำนวนไม่น้อยมีปัญหาในเรื่องความอบอุ่นของครอบครัว
ซึ่งจากสภาพความเป็นอยู่ดังกล่าวทำให้เด็กมีพฤติกรรมเสี่ยง
เด็กหลายคนขาดเรียนบ่อย
"ผม และครูจึงไปเคาะประตูบ้านนักเรียนเพื่อสอบถามสาเหตุพบว่าเด็กต้องหยุดไปรับ
จ้าง นำรายได้ที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงมาซื้อชุดนักเรียน หนังสือเรียน
เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ พอรับทราบปัญหาก็จุดประกายให้ผมมีแนวคิดจัดเรียนฟรี
โดยใช้เงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนที่รัฐบาลจัดให้มาบริหารสถานศึกษา
พร้อมกับยึดแนวทางการบริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
หัว"
"ผมนำแนวคิดนี้ไปปรึกษากับคณะกรรมการสถานศึกษา
แต่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ผมบอกว่าลองดูก่อนเพราะอยากเห็นอนาคตของเด็ก
และผมให้สัญญาว่าจะผลักดันให้ผลการเรียนของเด็กดีขึ้นด้วย
ในที่สุดคณะกรรมการก็ตกลง ส่วนอาจารย์ ผมก็ขอความร่วมมือ
โดยบอกว่านับจากนี้ไปคงต้องทำงานหนักกันหน่อยนะเพื่ออนาคตของลูกศิษย์
พวกเราทุกคนไปตามเด็กให้กลับมาเรียน
พยายามโน้มน้าวนักเรียนว่าเรียนจบมัธยม ต่อไปจะหางานดีๆ ทำ
สำหรับนักเรียนคนไหนมีปัญหาด้านการเงินและต้องออกไปรับจ้างโดยทำงานหนักเกิน
ไป ทางโรงเรียนก็จ้างให้เด็กทำงานแทนโดยจ่ายแรงให้เด็กวันละ 200 บาท เช่น
ขายน้ำให้เพื่อนนักเรียนช่วงพักรับประทานอาหารกลางวัน หรือทำงานอื่นๆ
ที่คิดว่าเขาจะทำได้"
ผอ.อนันต์ เล่าต่อว่า เมื่อแก้ปัญหาแรกจบ
ก็มีปัญหาใหม่มาเพิ่มความหนักใจให้อีกเพราะผลการเรียนของเด็กโดยภาพรวมค่อน
ข้างต่ำ จึงตัดสินใจควักกระเป๋าใช้เงินส่วนตัวไปเช่าห้องแถว 2 คูหา
เดือนละ 5 พันบาทเพื่อเปิดสอนพิเศษให้นักเรียนฟรี
โดยขอความร่วมมือจากครูมาสอนหลังเลิกเรียน
รวมทั้งอาศัยความสนิทสนมกับอาจารย์ ร.ร.สวนกุหลาบ
และอาจารย์โรงเรียนดังที่เกษียณไปแล้วเชิญมาช่วยสอนพิเศษหลังเลิกเรียนด้วย
ขณะเดียวกันให้รุ่นพี่ช่วยติวให้รุ่นน้องและเปิดชั่วโมงติวให้เด็กที่อยู่
ป.6 แล้วกำลังจะศึกษาต่อชั้น ม.1 จนผลสัมฤทธิ์ค่อยขยับขึ้น
กระทั่งต่อมาภายหลังเจ้าของห้องแถว ทราบว่า
โรงเรียนเช่าเพื่อใช้ทำอะไร ก็ให้ใช้ฟรีโดยไม่คิดสตางค์
"จากโรงเรียนที่ถูกเมิน วันนี้โรงเรียนมีนักเรียนมากกว่า 1,700 คน
นี่ผมมีแผนบริหารสถานศึกษาเพื่อให้เป็นโมเดลเรียนฟรี
เพื่อให้รัฐบาลรู้ว่าหากจัดเรียนฟรี รัฐต้องสนับสนุนจำนวนเท่าไหร่
ช่วยเหลืออะไรบ้างด้วย"
ทีนี้ ก็มาถึงโรงเรียนที่กำลังจะถูกทดลองเรื่องเรียนฟรีโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย(จริงๆ)
กันบ้างว่าพวกเขามีความคิดเห็นเช่นไร
"ปัญญา สุขะวณิชย์" ผอ.จันทร์หุ่นบำเพ็ญ กล่าวว่า
ด้วยภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณในการบริการสถานศึกษา สื่อการเรียนการสอน
และอื่นๆ ทำให้จำเป็นต้องเก็บเงินบำรุงการศึกษาประมาณคนละ 1,700
บาทต่อเทอม มาจ้างครูต่างชาติ จัดหาคอมพิวเตอร์ให้แก่นักเรียน
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับเลือกให้เป็นโรงเรียนนำร่องและได้รับงบประมาณเพิ่มนอกเหนือจาก
เงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน
ก็น่าจะทำให้การขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครองหมดไปได้
ขณะที่ น.ส.อัญชลี ประกายเกียรติ ผอ.ร.ร.สวนอนันต์
ให้ความเห็นว่าถึงแม้สพฐ.เลือกสวนอนันต์นำร่องโครงการเรียนฟรีและให้งบ
ประมาณ 2 ล้านบาทเพื่อมาใช้จ่าย
ซึ่งชดเชยจากที่โรงเรียนเคยเรียกเก็บจากนักเรียนเทอมละประมาณ 1,700 บาท
แต่ไม่รู้ว่าจะเพียงพอหรือไม่ เพราะโรงเรียนจ้างครูสาขาขาดแคลน
และครูต่างประเทศ มาสอนรวมกัน 11 คน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละกว่า 1
แสนบาท
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการโรงเรียนต่างแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า
การที่รัฐเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองเป็นสิ่งที่ดี
แต่สิ่งที่ผู้ปกครอง พ่อแม่ อยากเห็นมากกว่า นั้นก็คือ
การที่นักเรียนมีคุณภาพและส่งให้ถึงฝั่ง ไม่ว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
หรือไปเรียนสายอาชีพที่สนใจ
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000063195
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น