++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การทำนายฝันยุคโบราณกาล

การ ทำนายฝันไม่ใช่ของใหม่ เป็นเรื่องเก่าแก่และเป็นศิลปะที่แพร่ หลายไปทั่ว ทุกดินแดน ตั้งแต่มนุษย์เริ่ม เชื่อมโยงการสื่อสารเข้ากับประสบการณ์ พวกเราเริ่มฝังใจต่อความน่ากลัว อย่างประหลาดและ การวนเวียนอย่าง ไร้จุดหมายในระหว่างที่เราผล็อยหลับ ไปในความเงียบสงบแห่งรัตติกาล

ในยุคเมโสโปเตเมียเริ่มมีคำอธิบายที่ครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับ ความฝันและภาษาของ ความฝันไว้ค่อนข้างชัดเจน ชาวอัสซีเรียนและบาบิโลเนียนเมื่อ 5,000 ปี ก่อนคริสตกาล อธิบายไว้เกี่ยวกับกามารมณ์ ที่อาจเป็นภาพตรึงใจอยู่ในความฝัน

ถ้าชายคนหนึ่งฝันไปว่าฉี่ของเขาพุ่งเข้าสู่กำแพงและไหลนองไปที่พื้น เขาจะมีลูกดก หรือฝันว่าโบยบินได้ (ซึ่งซิกมันด์ ฟรอยด์ แปลความหมายออกมาเป็นสัญลักษณ์ แห่งความหฤหรรษ์ทางกามารมณ์) แต่ชาวเมโสโปเตเมียนเชื่อว่า การโบยบินไปได้ในความฝันหมายถึงอันตรายหรือความตาย

ชาวเมโสโปเตเมียนเชื่อว่า ความฝันมา จากวิญญาณชั่วหรือผีร้าย และสิ่งที่เห็นในความฝัน เหมือนกับสิ่งที่สะกดหรือตราเอาไว้ ซึ่งจะเป็นจริงขึ้นได้ ถ้าหากผู้ฝันไม่ทำอะไรบางอย่างที่จะหักเห เหตุการณ์นั้นออกไป

พวกบาบิโลเนียนมีเทพีแห่งความฝันที่มีชื่อว่า มามู (Mamu) ที่พวกเขาจะสวด อ้อนวอนในขณะที่ พระทำพิธีที่จะปัดรังควาน เพื่อหยุดยั้งมิให้ความฝันเป็นจริง

ความฝันของเนบูชาดเนสซาร์

ในพระคัมภีร์ไบเบิล เนบูชาดเนสซาร์ (Nabuchadnezzar) ผู้เป็นกษัตริย์ของชาวบาบิโลเนียน ฝันถึงต้นไม้ที่เติบใหญ่แข็งแรง แต่เมื่อถูกสาปแช่งโดยอำนาจของผู้ศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นตอไม้ที่เหี่ยวแห้ง แดเนียลผู้พยากรณ์ ชาวฮีบรู ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในการทำนายฝัน ทูลต่อกษัตริย์ว่า ภาพที่เห็นทำนายถึงความวิกลจริต ในคัมภีร์ไบเบิลเชื่อมโยงเรื่องต่อไปว่า อีกหนึ่งปีให้หลังเป็น ความจริงตามนั้น คือ เนบูชาดเนสซาร์ มีอาการบ้าคลั่ง “จนกระทั่งผมของเขายาวสยายคล้ายขนของ นกอินทรีและเล็บมือที่งอกออกมาจนเหมือนอุ้งเท้าเหยี่ยว” เป็นตัวอย่างที่แสดงเรื่องร้าย ในความฝันที่กลับเป็นจริง หรือเนบูชาดเนสซาร์เกิดความรู้สึกในด้านลางสังหรณ์ว่า เขาจะได้ประสบกับความเจ็บป่วยและการสูญเสียอำนาจ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ จึงดลใจให้เกิดภาพในความฝันเช่นนั้น

ความฝันสมัยราชวงศ์อียิปต์

คำจารึกโบราณของชาวอียิปต์เกี่ยวกับเรื่องความฝัน แสดงถึงความเชื่อที่คล้ายคลึงกับพวก ชาวบาบิโลเนียนและอัสซีเรียน แม้ว่าบันทึกเหล่านั้นจะไม่เป็นเรื่องที่ย้อนหลังไปไกล นัก อาจจะประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล พวกอียิปต์มีความเชื่ออย่างเดียวกันว่า ความฝันมาจากวิญญาณที่ชั่วร้าย ซึ่งจะต้องมีการทำให้สยบลงด้วยทางใดทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังมีความฝันที่มาจากวิญญาณอันสูงส่งอยู่ด้วย

ความฝันของฟาโรห์

พระคัมภีร์เดิมมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับความฝัน ที่รู้จักกันดีที่สุดได้แก่ ความฝันที่ฟาโรห์เล่าแก่ โจเซฟถึงเรื่องในความฝันอันมีวัวที่อ้วนพี 7 ตัวขึ้นมาจากแม่นํ้าเพื่อเล็มหญ้าในทุ่งกว้าง ตามมาด้วยวัวผอมโซอีก 7 ตัว ที่ขึ้นมากินวัวอ้วนฝูงแรกเป็นอาหาร ในคืนต่อมา ฟาโรห์ฝันอีกว่าเห็นฝักข้าวโพดที่สมบูรณ์ 7 ฝัก ถูกเขมือบโดยฝักข้าวโพดที่ลีบและเหี่ยวแห้ง 7 ฝัก โจเซฟทำนายฝันได้อย่างถูกต้อง ถึง 7 ปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ จะตามมาด้วยระยะ 7 ปีแห่งความแห้งแล้ง และภาวะข้าวยากหมากแพง

ความฝันตามแบบฉบับอินเดีย

พวกอินเดียโบราณมีความสนใจ ในระดับต่างๆ ของความมีสติ พวกเขาลงความเห็นว่าน่าจะมีอยู่ 4 สถานการณ์ด้วยกันคือ ตื่น ฝัน หลับโดยไม่ฝัน และสภาพที่ได้ ใกล้ชิด กับพรหมเทพ เป็นที่น่าสนใจที่จะคิดว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนคริสตกาล ชาวอินเดียโบราณคำนึงถึง สภาวะต่างๆ ในระยะที่นอนหลับและ แยกแยะ เอาไว้แล้ว ในขณะที่วิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเริ่มเรียนรู้และ ใช้เวลาหลายปีเพื่อ จะยืนยันโดย ใช้อุปกรณ์ EEG ในการทดลองตรวจ คลื่นสมองขณะหลับ

บันทึกในยุคต้นๆของอินเดียโบราณ เรื่องความฝันจะพบใน คัมภีร์เวทอาธารวา (Atharva Veda) ซึ่ง เป็นคัมภีร์ที่รวบรวม เรื่องราวและความเชื่อต่างๆตั้งแต่ยุค 1,500-1,000 ปี ก่อนคริสตกาล ชี้แนะความเห็นที่ว่า คนเราอาจมีเรื่องราว ที่ฝันหลายเรื่องติดต่อกัน แต่ที่น่าสนใจและสำคัญอยู่ที่ ความฝันสุดท้าย เรื่องนี้เข้ากันได้ดีกับแนวความคิดยุคใหม่ที่ว่า แต่ละความฝันจะเป็นการแก้ปัญหา ในแบบที่ต่างกันไปทีละอย่าง จนกระทั่งหาทางออกได้ในที่สุด ทฤษฎีของอินเดียเชื่อมั่นว่า ความฝันเกิดขึ้นโดยมีความตั้งใจ พวก เขายังรับว่า ความฝันแบบมโนภาพมี 2 รูป-แบบ จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาและ จากสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของบางสิ่ง นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ว่า ความเห็นในปัจจุบันสะท้อนข้อคิดของคนในอดีต ภาพที่ซิกมันด์ ฟรอยด์ เห็นว่าเป็นเรื่องชักนำไปทางกามารมณ์ อันมี ดาบ ขวาน ธง ในสมัยก่อนจะหมายถึงความสุข ฝันถึงดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ร่วงหล่นจากฟากฟ้า หรือความฝันที่เกี่ยวกับทะเลและภูเขา จะเป็นสิ่งบอกเหตุการณ์ต่างๆกัน เช่นเรื่องร้ายหรือน่ากลัว

มีบันทึกในสมัยต้นของฮินดู แจ้งถึงความฝันที่สะท้อนถึงอารมณ์และลักษณะของผู้นั้น ซึ่งเป็นแนวเดียวกับ ความคิดในปัจจุบันที่ว่าบุคลิกภาพของคนจะเกี่ยวเนื่องกับความฝันของผู้นั้น วิหารแห่งความฝันของพวกกรีก

อาชิลล์ วีรบุรุษในสงครามกรุงทรอย เชื่อมั่นว่าเทพเจ้าซูส (Zeus) จะช่วยฝ่ายกรีก โดยชี้แนะผ่านทางภาพที่เห็นใน ความฝัน ความเชื่อแบบนี้มีพลังพอที่จะให้พวกกรีกปฏิบัติตามอียิปต์ โดยสร้างวิหารขึ้นเพื่อที่จะให้ผู้คนเข้าไปนอน เพื่อที่จะได้ฝันและรับรู้สารจากเทพเจ้าที่จะมาในความฝัน

ชาวกรีกสร้างวิหารเพื่ออุทิศแก่ เอส-เคลปิอุส (Aesculapius หรือ Asclepius) เทพเจ้ากรีกผู้มีชื่อ ทางการรักษา โรคภัย เพราะมีความเชื่อกันว่า การรักษาโรคสามารถทำได้ สำเร็จทางความฝัน ความฝันอาจนำไปสู่วิธีบำบัดที่ถูกต้อง

ความฝันของพวกกรีก

ฮิปโปเครติส (Hippocratis) อธิบายความเชื่อถือเรื่องความฝัน ซึ่งมีทั้งพวกกรีกและที่อื่นๆ ในโลกที่เห็นด้วยว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์ในเรื่องความเจ็บไข้และ เรื่องความฝันเป็นผลสะท้อนมาจากสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในจักรวาล และสิ่งที่บอกเล่าโดยพระเจ้าเบื้องบนผ่านทางความฝันเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้

แต่ไม่ใช่ว่าพวกกรีกทุกคนจะเห็นคล้อยตามทฤษฎีของ ฮิปโปเครติส พลาโต (Plato) อธิบายเรื่องฝันตรงกับความคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์ ว่า ในยามค่ำเรามีวิญญาณของสัตว์ป่าอยู่ในตัวของเรา เมื่อความรู้สึกในการมีเหตุมีผลสงบนิ่ง กิเลสในตัวคนจะชักนำไปสู่ความคิดชั่วร้าย

การแปลความหมายจากความฝันจะแตกต่างกัน ไปตามความเชื่อของกลุ่มชนแต่ละวัฒนธรรม แต่ครั้งโบราณกาล และสืบทอดกันต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน.

ต่วย\'ตูน
และ ไอแสค อาศิระ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น