++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความสำคัญของเทคโนโลยี

โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน 3 มิถุนายน 2552 15:57 น.
เทคโนโลยีซึ่งถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยก็น่าจะหมายถึง วิทยะกรรมวิธี
ซึ่งอาจจะมีความหมายไม่ตรงนัก
คำว่าเทคโนโลยีคือวิธีการที่ใช้ความรู้มาทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ตามที่ต้อง
การ ซึ่งในสมัยโบราณนั้นความรู้ที่นำไปสู่การเป็นเทคโนโลยีมาจากวิธีการทดลอง
กระทำ ลองผิดลองถูก (trial and error) เป็นต้นว่า
ในการสร้างเครื่องมือในการจับปลา
ในตอนต้นปลาอาจจะหลุดออกไปจากเครื่องมือที่จับเนื่องจากไม่รัดกุมพอ
จากนั้นก็มีการปรับปรุงขึ้นมาเรื่อยๆ
จนได้ความรู้อันถือได้ว่าสามารถใช้สร้างเครื่องมือจับปลาที่ทำงานได้ผล
ก็เอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์เพื่อใช้ในการทำมาหากินและการดำรงชีวิต

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การสร้างบ้านด้วยวัสดุที่หาได้จากในป่า
ทำให้สามารถจะปลอดจากน้ำท่วม สัตว์ร้าย ซึ่งได้แก่
เทคโนโลยีการสร้างบ้านเพื่อพักอาศัย
เทคโนโลยีในการหาอาหารก็มีตัวอย่างเครื่องมือการจับปลาหรือล่าสัตว์ เช่น
แห ยอ เบ็ด สวิง กับดักสัตว์ แร้วดักนก
ทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นวิทยะกรรมวิธีหรือเทคโนโลยีที่มาจาก
ประสบการณ์ สามารถนำมาใช้ในการทำมาหากินดำรงชีวิตสืบทอดมาเป็นเวลาอันยาวนาน

ผู้ซึ่งเคยไปเที่ยวบาหลีจะได้รับการบอกกล่าวว่า
หมู่บ้านในบาหลีนั้นหนีไม่พ้น bbc b ตัวแรกได้แก่ banana การปลูกกล้วย
ชาวบ้านแถบนั้นรู้ว่ากล้วยมีประโยชน์ในการกินเป็นอาหาร เอามาทำแป้ง ทำขนม
ขณะเดียวกันใบกล้วยก็สามารถนำมาห่อของ
หยวกกล้วยนำมาเป็นฐานสำหรับปักสิ่งประดับในพิธีการฉลอง เช่น
อาจจะเป็นที่ปักธูป หรือปักดอกไม้
ขณะเดียวกันใบกล้วยก็ยังมักจะนำมาใช้เป็นพิธีทางสังคม
โดยเฉพาะพิธีที่เกี่ยวข้องกับศาสนามักจะหนีไม่พ้นใบกล้วยและต้นกล้วย

b ตัวที่สองได้แก่ bamboo หรือไม้ไผ่
ซึ่งมีประโยชน์ในการทำเครื่องจักสาน ทำเครื่องมือสำหรับจับสัตว์และจับปลา
และยังสามารถนำมาใช้ทำภาชนะ
ขณะเดียวกันก็ยังใช้เป็นแกนของการทำใบจากเพื่อมุงหลังคา ทำฝาบ้าน
ทำพื้นบ้าน กั้นคอกไก่ ทำสุ่มไก่ ฯลฯ

c ได้แก่ coconut หรือมะพร้าว ซึ่งเนื้อมะพร้าวนำมากินเป็นอาหาร
คั้นกะทินำมาเป็นอาหารคาวหรืออาหารหวาน
หั่นเป็นฝอยและนำมาคั่วทำเป็นขนมได้ เช่น เป็นส่วนประกอบของเมี่ยง
และที่สำคัญกลั่นน้ำมันเพื่อเป็นเชื้อเพลิงและจุดตะเกียง
ใบมะพร้าวก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการสร้างที่อยู่อาศัย
ส่วนต้นมะพร้าวนั้นใช้ปูเป็นสะพานข้ามคลองเล็กๆ เป็นเสาเรือน
กะลาทำภาชนะใส่น้ำดื่ม

จะเห็นว่า ความรู้เกี่ยวกับสิ่งเพาะปลูก 3 สิ่งนั้น อันได้แก่
กล้วย ไม้ไผ่ และมะพร้าว สามารถนำมาใช้ในการดำรงชีวิต
และนั่นคือความรู้ที่ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีหรือวิทยะกรรมวิธี
เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งซึ่งอยู่คู่กับการดำรงชีวิตของมนุษย์
แต่เมื่อมีการพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มาจากการทดลอง
เริ่มต้นจากการพบพลังของไอน้ำเมื่อน้ำเดือด ก็นำไปสู่เครื่องจักรไอน้ำ
จนนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ
ในอดีตก็มีเทคโนโลยีเพื่อการผลิตอยู่แล้ว
หากแต่ต้องอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก เช่น กังหันลม ระหัดน้ำ ไฟ
ซึ่งเป็นพลังงานที่ได้จากธรรมชาติแต่ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์โดยการใช้
เทคโนโลยีที่มาจากการลองผิดลองถูก

แต่เทคโนโลยีจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต้องใช้ความคิดหาความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปร เช่น ความร้อนทำให้น้ำเดือด เมื่อน้ำเดือดเป็นไอก็จะมีพลัง
พลังนั้นเมื่อส่งไปยังจุดเดียวก็จะสามารถไปปั่นกังหันให้หมุนได้
ซึ่งนำไปสู่การสร้างเครื่องจักรไอน้ำ นอกเหนือจากนั้น
ในอดีตพลังงานส่วนใหญ่มาจากสิ่งมีชีวิต (animate energy) เช่น สัตว์ต่างๆ
อันได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย ลา ล่อ อูฐ และมนุษย์
ซึ่งต่างจากพลังงานที่มาจากวิทยาศาสตร์ที่กล่าวมา เช่น พลังงานจากไอน้ำ
จากน้ำมัน ฯลฯ เป็นพลังงานที่ไม่มีชีวิต (inanimate energy)

มาในปัจจุบันเทคโนโลยีซึ่งมาจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์มีมากมาย
และเกี่ยวพันกับชีวิตทั้งการดำรงชีวิต การผลิตของเครื่องใช้
การผลิตสินค้า การประกอบธุรกิจ
อันเนื่องมาจากการค้นคว้าทดลองของนักวิทยาศาสตร์
เมื่อค้นพบหลักการก็นำมาประยุกต์ เช่น เครื่องจักรกลต่างๆ
ยานพาหนะที่เดินทางด้วยพลังงานจากเชื้อเพลิงหรือไฟฟ้า
เครื่องทุ่นแรงขนาดใหญ่ที่สามารถเทียบเท่ากับคนเป็นสิบๆ คน เช่น แบ็คโฮ
และที่สำคัญในขณะนี้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับข่าวสารข้อมูลส่งผลให้การสื่อสาร
ได้อย่างรวดเร็ว ได้ยินทั้งเสียง เห็นทั้งภาพ
และสามารถจะเป็นการสื่อสารทั้งสองฝ่ายได้ในเวลาเดียวกัน

ขณะเดียวกันการคมนาคม การขนส่งก็สามารถกระทำได้กว้างไกล
จนถึงกับเดินทางไปดวงจันทร์ ระยะทางที่เคยใช้เวลานานเป็นเดือนๆ
ลดเหลือเป็นชั่วโมง
ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้คือบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ซึ่งสังคมสมัยใหม่ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้

แต่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่กล่าวมาแล้วนั้น
จำเป็นต้องมีการจัดการอย่างถูกต้อง
โดยรับและเลือกใช้อย่างชาญฉลาดเพื่อจะก่อประโยชน์อย่างแท้จริงต่อสังคม
มนุษย์ เพราะถ้ารับเทคโนโลยีมาโดยขาดการพินิจพิจารณา
อาจจะนำไปสู่ผลเสียได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งผลโดยตรงและผลข้างเคียง
ตัวอย่างเช่น การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากมายเพื่อเพิ่มผลผลิต
นำสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิตมาจำแนกแจกจ่ายให้กับประชาชนในสังคม
อาจจะก่อผลเสียคือปัญหามลพิษและปัญหาสภาพแวดล้อม ทำลายสุขภาพ
เทคโนโลยีในการทำลายล้างซึ่งนำมาใช้ในสงคราม
ก็อาจไปไกลถึงกับสามารถสังหารหมู่ได้เป็นแสนๆ คนภายในพริบตาเดียว

นอกเหนือจากนั้น
ประโยชน์ที่ได้จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีซึ่งนำไปสู่ความเติบโตมั่งคั่งทาง
เศรษฐกิจ ความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต การเป็นฐานอำนาจทางการเมือง
และเศรษฐกิจอาจจะนำไปสู่ผลลบซึ่งถูกมองข้ามอย่างน่าเสียดาย นั่นคือ
สภาวะการเสื่อมโทรมจิตใจของมนุษย์ก่อให้เกิดความโลภ ละโมบโดยไม่สิ้นสุด
การฉ้อราษฎร์บังหลวง
รวมทั้งการนำไปสู่การรุกรานเข่นฆ่าเพื่อยึดครองแผ่นดินและผลประโยชน์ทาง
เศรษฐกิจของประเทศอื่น

ดังที่ เลนินเคยกล่าวว่า
ลัทธิล่าอาณานิคมเป็นจุดสูงสุดของระบบทุนนิยม
เมื่อตลาดอิ่มตัวและต้องการวัสดุและแรงงานที่ถูกกว่าก็จะใช้กำลังรุกราน
ประเทศอื่น ลัทธิล่าอาณานิคมเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อันได้แก่ ปืนไฟและเรือกลไฟ ซึ่งมีอำนาจทำลายสูง
การพัฒนาเทคโนโลยีในการทำลายล้างพัฒนาขีดความรุนแรงมากขึ้น
การทำลายสูงสุดของเทคโนโลยีสมัยใหม่คือการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่าและ
นางาซากิ และในยุคสงครามเย็นโลกหมิ่นเหม่ที่จะถูกทำลายล้างด้วยสงครามนิวเคลียร์

ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงต้องตามมาด้วยความเจริญทาง
เทคโนโลยีสังคม (social technology) ซึ่งได้แก่ วิทยะกรรมวิธี
การจัดการกับสังคมมนุษย์ทั้งภายในและระหว่างประเทศให้สามารถดำรงชีวิตอยู่
ได้โดยได้ประโยชน์สูงสุดต่อคนส่วนใหญ่ มีชีวิตที่มีความสุข
และมีสังคมที่น่าพึงประสงค์
เทคโนโลยีสังคมที่สำคัญคือการสถาปนาระบบการเมืองการปกครองที่สามารถตอบสนอง
ต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม
เคารพสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ที่สำคัญต้องสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

เทคโนโลยีทางสังคมที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
การบริหารต้องเป็นเทคโนโลยีที่สามารถจัดการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเอื้อ
ประโยชน์ซึ่งกันและกัน
สังคมใดก็ตามที่ขาดเทคโนโลยีสังคมที่กล่าวมาแล้วนั้น
ถึงแม้จะสามารถพัฒนาหรือซื้อเทคโนโลยีที่เกิดจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์โดย
นักฟิสิกส์ เคมี และชีวะ นำมาเป็นประยุกต์โดยวิศวกรได้
แต่ก็ไม่สามารถจะเอื้ออำนวยประโยชน์ได้เต็มที่
เพราะตราบเท่าที่เทคโนโลยีสังคมไม่สามารถสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันโดยสันติ
สุข มีกฎกติกาและกฎเกณฑ์อันสามารถจะทำนายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง
ความเจริญทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจริญทางวัตถุ
อาคารบ้านเรือน ตึกรามบ้านช่อง ตึกระฟ้า หรือความทันสมัยในทุกๆ
ด้านก็จะเปรียบเสมือนเปลือกนอก
โดยสิ่งเหล่านั้นจะอยู่บนฐานที่เปราะบางและง่อนแง่น

ดังนั้น ถึงแม้มนุษย์จะประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แต่เมื่อขาดเทคโนโลยีสังคมที่สามารถจัดการกับความสำเร็จดังกล่าว
ก็จะนำไปสู่ความล้มเหลวของสังคมมนุษย์โดยสิ้นเชิง
การเกิดสงครามโลกสองครั้ง และการที่ยังมีสงครามปรากฏอยู่ทุกวันนี้
รวมทั้งความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศต่างๆ
บ่งชี้ถึงความล้มเหลวทางเทคโนโลยีทางสังคม

เทคโนโลยี สังคมที่สำคัญคือ
ความสามารถในการจัดการกับความขัดแย้งทั้งภายในและระหว่างประเทศ
ความสามารถในการพัฒนาระบบการเมืองการปกครองบริหารที่ทำงานได้ผล
ความสามารถในการสร้างวัฒนธรรมทางจิตใจ ที่ตั้งอยู่บนฐานของความยุติธรรม
เป็นธรรม ความเอื้ออาทรและเมตตาอารีต่อกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภราดรภาพแห่งมนุษยชาติ


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000062371

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น