++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สมเพชคนไทยไม่มีปัญญาหา "ทางออกทางการเมือง"

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ


ฉบับที่แล้วผมเล่าเรื่องอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์
เพื่อนร่วมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2517 ของผม
ผมบอกว่าผมผิดหวังในรัฐธรรมนูญฉบับนั้นมาก และเห็นด้วยที่ดร.ธวัช มกรพงศ์
ยกมือคัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับนั้น
เป็นเสียงเดียวในสภานิติบัญญัติที่เลือกกันเองขึ้นมาจากสมัชชาแห่งชาติสนาม
ม้าปี 2516

ท่านผู้อ่านคงเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนขวางโลกเข้ากับใครเขาไม่ได้
เอาแต่ความคิดของตนเป็นใหญ่
แต่ด้อยปัญญาไม่สามารถทำให้คนอื่นเห็นด้วยกับความคิดของตน

ผมอยากจะเล่าว่า การทำงานของผมในคณะกรรมการร่างฯ
มีความสนุกสนานเพลิดเพลินมาก มีความสัมพันธ์กันดีทุกคน
ไม่มีความขัดแย้งใดๆเป็นส่วนตัวเลย ไม่ว่าคนที่ตายจากไปแล้ว
หรือคนที่มีชีวิตอยู่
แต่เรื่องที่ขัดกันส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกรอบความคิด
โดยเฉพาะท่านผู้ใหญ่ย่อมติดอยู่ข้างอนุรักษนิยม ติดโน่นติดนี่
กลัวโน่นกลัวนี่เป็นอาจิณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลัวคอมมิวนิสต์และไม่วางใจลูกจีน ทั้งๆ
ที่ท่านเจ้าของความคิดก็มีนามสกุลที่บอกว่าเป็นลูกจีนอยู่โต้งๆ

ผลจึงออกมาอย่างที่ผมเล่า คือเราได้รัฐธรรมนูญบังคับสังกัดพรรค
จำกัดสิทธิลูกจีน
ผู้มีสิทธิออกเสียงมีสิทธิไม่เท่ากันแล้วแต่ว่าใครอยู่เขตมีผู้แทน 1 หรือ
2 หรือ 3 คน

พอเข้าสภานิติบัญญัติ องค์ประกอบไม่เลือกว่าเป็นคนแก่คนหนุ่ม
ก็ยิ่งอนุรักษนิยม หรือขี้ขึ้นหัวสมองกลัวนั่นกลัวนี่หนักขึ้นไปอีก
และก็มีปัญญาชนที่เรียกว่าไหม้เกินไปหรือไม่ก็ยังห่ามอยู่ กินไม่ได้
รัฐธรรมนูญจึงออกมายืดยาว เลอะเทอะยิ่งขึ้นไปใหญ่

แต่รัฐธรรมนูญจะเขียนดีเขียนเลวอย่างไร
ถ้าหากผู้แทนดีหรือพรรคการเมืองดี ก็น่าจะไม่เป็นปัญหา
ทำให้ทหารทนไม่ได้จนกระทั่งต้องทำปฏิวัติรัฐประหาร

แต่จุดสำคัญที่จำเป็นจะต้องพูดถึงและอาจารย์อมรมีความรู้สึกตรงกับผม
อย่างแรงก็คือ การบังคับให้สังกัดพรรคการเมือง
ทำให้ระบบพรรคไม่มีทางพัฒนาขึ้นมาได้ และไม่มีทางจะต้านทานคอร์รัปชันได้
เพราะพรรคนั่นเองแหละจะเป็นต้นตอของการคดโกงคอร์รัปชัน
และแนวโน้มในเรื่องนี้จะหนักขึ้นทุกที และไม่มีวันขจัดได้

ก็เราเคยมีนายกรัฐมนตรีที่ซื่อสัตย์เชื่อถือได้มาหลายคนแล้วมิใช่หรือ

อาจารย์สัญญา พล.อ.เปรม นายอานันท์ และนายชวน
ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนซื่อมือสะอาดทั้งนั้น

แล้วเมืองไทยจึงยังสกปรกโสโครกอยู่อย่างนี้
อาจารย์อมรเชื่อเหมือนกับผมว่า ก็เพราะพรรคหัวหน้าตั้งไม่มีวันยั่งยืน
จึงต้องรีบแย่งกันกินนี่แหละ ที่เป็นต้นตอที่แท้จริงของปัญหา

และในเรื่องเดียวกันนี้
เจ้าสำนักคิดทหารประชาธิปไตยคือนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ซึ่งขณะนี้ยังเหลือศิษย์อาวุโสคือ ศ.พันเอก (พิเศษ) ชวัติ
พิสุทธิพันธุ์อยู่ก็คิดไม่ผิดเพี้ยนกันเลย

ผมนั่งเขียนบทความนี้อยู่ที่สนามบินอุดรธานี
ท่ามกลางการห้อมล้อมของคนไทยเสื้อแดง เมื่อตอนก่อนเที่ยง
ดาราพรรคชั่วคราวขนาดใหญ่ 2 พรรค บินมาพร้อมกัน
ต่างก็บอกว่าการเลือกตั้งซ่อมที่สกลนครแพ้ไม่ได้ 2 คนนั้นคือ จตุพร
พรหมพันธุ์และเนวิน ชิดชอบ คนที่ถูกศาลสั่งตัดสิทธิทางการเมืองนั่นแหละ
แต่ทุกวันนี้ยังเรียกประชุมกระทรวงคมนาคมที่บ้านเนวิน อยู่เป็นประจำ

คนเสื้อแดงเมืองอุดรเกือบจะพากันได้กระทืบเนวิน
โทษฐานทรยศอยู่แล้ว บังเอิญตำรวจไหวทัน
ดักเอาตัวเนวินเก็บไว้ในห้องวีไอพีชั้น 2 เสียก่อน

ต่อหน้าผมมีบทความของดร.อมร เรื่อง "คนไทยจะหาทางออกทางการเมือง"
ได้อย่างไร พร้อมกับบทความของพันเอกชวัติ เรื่อง "คณะปวงชนชาวไทย :
เป็นไท เป็นธรรม ทัดเทียม" และหนังสือของนายกฯ อภิสิทธิ์เรื่อง
"การเมืองไทยหลังรัฐประหาร : ทางออกจากวิกฤตก่อนจะกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง"

ทั้งสองคนไม่ได้พูดตรงๆ ว่า นายกฯ
อภิสิทธิ์มิใช่ทางออกการเมืองไทย หรือนายกฯ
ไร้ความสามารถที่จะนำการเมืองไทยออกจากวิกฤต แต่ทั้งคู่สรุปเลยว่า
เมืองไทยหาทางออกทางการเมืองไม่สำเร็จแน่ๆ

อาจารย์อมรก็เชื่อว่าวิธีของอาจารย์อมรจึงจะทำให้เมืองไทยหาทางออก
ได้ เพราะทางออกที่คนอื่นๆ รวมทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์อ้างกันอยู่ทุกวันนี้
ล้วนเป็นทางออกเก่าๆ วิธีเก่าๆ ที่ล้มเหลวมาแล้วทั้งสิ้น

ผมขอลอกอีกทีนะครับ ดร.อมรเขียนว่า

"เนื้อหาสาระในการบรรยายของผู้เขียนในบ่ายวันเสาร์ที่ 18 เมษายน
นั้น มีสาระที่แตกต่างกับความเห็นของท่านนายกรัฐมนตรีในทางตรงกัน"

ท่านนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ดังนี้
"....ผมรับโทรศัพท์..พบข้อเรียกร้องหลายประการ ประชาชนจำนวนมากที่เห็นว่า
กติกาทางการเมืองปัจจุบันไม่เป็นธรรมสืบเนื่องมาจากการรัฐประหาร
รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (กับ) ข้อเรียกร้องนี้
ผมให้ความสำคัญมาตลอด ก่อนเกิดเหตุการณ์ ผมได้ริเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แก้ไขกฎหมายและปฏิรูปการเมือง เพียงแต่เห็นว่า
มีประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้และออกมาเรียกร้องในช่วงปีที่
แล้ว แต่ไม่อยากให้เหตุการณ์ย้อนกลับไปเหมือนปีที่แล้ว
จึงเสนอให้สถาบันที่เป็นกลางมาดำเนินการ
แต่ยังไม่ได้รับการขานรับจากพรรคฝ่ายค้านที่อาจจะระแวงว่า
สถาบันนั้นเป็นกลางจริงหรือไม่ ดังนั้น ครม.
และพรรคร่วมรัฐบาลจึงได้ตั้งหลักกันใหม่ว่า
จะให้พรรคการเมืองทุกพรรคสรุปว่า
ความไม่เป็นกลางและความไม่เป็นประชาธิปไตยมีประเด็นใดบ้างภายใน 2 สัปดาห์
จากนั้นก็จะมาพิจารณาดูว่ามีกี่ประเด็น และจะได้รับฉันทามติจากสังคมว่า
จะแก้ไขอย่างไร และพร้อมจะเดินหน้าแก้ไขภายหลังระดมความเห็นพรรคการเมืองแล้ว
ก็จะเปิดกว้างต่อไป เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่มากจนเกินไป"

อาจารย์อมรไม่ได้โจมตีนายกฯ แต่นายกฯ
ก็เป็นคนไทยและนักการเมือง-นักวิชาการคนหนึ่ง
ที่คงจะหนีไม่พ้นจากการสังเกตของอาจารย์อมรว่า

"การที่คนไทยมองไม่เป็น หรือไม่เห็นปัญหานี้
ก็เพราะความล้มเหลวของการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเรียนการสอนในคณะนิติศาสตร์
และคณะรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยของเราที่ต่ำกว่ามาตรฐานสากล
การเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาของเราได้สอนนักศึกษาของเราทั้งประเทศอย่าง
ผิดพลาดไม่ตรงความจริง (reality) ตลอดมมา และดังนั้น ความเห็นของผู้เขียน
เป็นความรับผิดชอบของวงการนิติศาสตร์
และวงการวิชาการที่ปล่อยให้คนไทยทั่วไปเรียก "ระบบเผด็จการ"
โดยพรรคการเมือง (นายทุนธุรกิจ)
ประเทศเดียวในโลกนี้ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย"

ข้อสรุปของดร.อมรโดยไม่ต้องพูดถึงนายกฯ อภิสิทธิ์ว่า
ทำไมจึงจะบ้าฝากความหวังไว้กับพรรคการเมือง "เผด็จการ" โดยพรรคการเมือง
นายทุนธุรกิจ อาจารย์อมรไม่ได้พูดด้วยซ้ำถึงนายทุนใหญ่ท่อน้ำเลี้ยงที่ชักไยอยู่ต่าง
ประเทศ

นายกฯ อภิสิทธิ์นั้นจบมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก คือ
มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ก็ได้ปริญญานิติศาสตร์มาจากรามคำแหง
และเรียนการเมืองมาจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นเวลา 15-16 ปี

ผมจะจบบทความตอนนี้แค่นี้ก่อน
ฉบับหน้าจะนำข้อเขียนของนายกฯอภิสิทธิ์มาประกบกับดร.อมร
และเอามาตรวจสอบกับการกระทำของนายกฯอภิสิทธิ์เอง

แต่จะขอแถมความคิดของพันเอกชวัติ ว่า

"ประชาชน ชาวไทยเหมือนคนหลงทางอยู่กลางทะเลทราย
และเดินหลงทางไกลออกไปทุกทีจากแหล่งน้ำ คือ
ความไพบูลย์ของประเทศชาติและประชาชน เพราะมีภาพลวงตามิอาจทำให้เขว
คิดว่าดินแดนแห่งความตายที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นคือแหล่งน้ำ ตลอด 77
ปีที่ผ่านมาประชาชนถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อว่าประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูญที่
ประชาชนยังไม่สามารถเป็นเจ้าของอธิปไตยได้โดยแท้จริงนั้น เป็น
"ปัญหาทางรัฐธรรมนูญ" ยิ่งสาละวนแก้รัฐธรรมนูญก็ยิ่งสิ้นเนื้อประดาตัว
เป็นการฝังศพให้กับตัวเอง"


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000063013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น