++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เบื้องหน้าเบื้องหลัง พรรคการเมืองใหม่ : New Politics Party

โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


ในที่สุดการจัดตั้งพรรคการเมืองตามฉันทามติของประชาชนที่มาร่วม
ชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 25
พฤษภาคม 2552 ก็ได้เกิดขึ้นเป็นจริงแล้ว เมื่อกลุ่มคน 27 คน
ซึ่งมีมากกว่าจำนวนขั้นต่ำ 15 คน
ตามกฎหมายได้มารวมตัวกันเมื่อวันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2552
เพื่อมาจัดตั้งพรรคการเมืองตามเจตนารมณ์ของประชาชน

27 คน ซึ่งมีผู้หญิงกว่าครึ่งหนึ่งได้มารวมตัวกัน
ประชุมกันอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อก่อตั้งพรรค
ซึ่งแค่บรรยากาศการประชุม "จริง" เพื่อก่อตั้งพรรค
ก็แตกต่างกับหลายพรรคการเมืองที่ประชุมเพื่อก่อตั้งพรรคการเมืองตามเอกสาร
เท่านั้น และก็ไม่ได้มีการประชุมกันจริง

แกน นำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มอบหมายให้นายสมศักดิ์
โกศัยสุข 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายสุริยะใส
กตะศิลา ผู้ประสานงาน เป็นตัวแทนในการร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่
และเชิญตัวแทนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกภูมิภาค
และหลากหลายอาชีพ ทั้งนักธุรกิจ ทหาร แรงงาน เกษตรกร ศิลปิน
นักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ที่น่าสนใจตั้งแต่เริ่มต้นก็คือ
การก่อตั้งพรรคการเมืองครั้งนี้มีผู้หญิงเข้ามาร่วมเป็นผู้ก่อตั้งเกือบ
ครึ่งหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้ความสำคัญกับ
ผู้หญิง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ออกมาชุมนุมมากที่สุดในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

การประชุมมีบรรยากาศเป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง
เมื่อผู้เข้าร่วมในการก่อตั้งต่างแสดงความเห็นกันอย่างอิสระ
ตั้งแต่การตั้งชื่อพรรค การเลือกหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค
เลขาธิการพรรค รองเลขาธิการพรรค เหรัญญิกพรรค โฆษกพรรค
และกรรมการบริหารพรรค ล้วนแล้วแต่มีการเสนอ การอภิปราย
ในทุกหัวข้ออย่างกว้างขวางและมีการลงมติยกมือในทุกวาระ

เมื่อ ตั้งบรรทัดฐานไว้เช่นนี้ จึงหมายถึงว่าหัวหน้าพรรค
กรรมการบริหารพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรคในอนาคต
"หลังจากมีสมาชิกพรรคและสาขาพรรคตรงตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติเอาไว้"
ก็ต้องมาจากประชาชนเช่นเดียวกัน

พรรคชื่อ "การเมืองใหม่" มีชื่อภาษาอังกฤษว่า "New Politics
Party" ใช้ชื่อย่อภาษาไทยว่า ก.ม.ม. และมีตัวย่อภาษาอังกฤษว่า "N.P.s.P"
ส่วนตัวอักษร N.P หรือ N.P.P.
นั้นมีพรรคการเมืองใช้แล้วไม่สามารถใช้ซ้ำได้อีก

สำหรับตราประจำสัญลักษณ์พรรคในเบื้องต้น
ที่ประชุมได้เสนอออกแบบมาเบื้องต้น (ซึ่งอาจมีการปรับปรุงอีก)
เป็นดังที่ปรากฏข้างต้น มีคำอธิบายดังนี้

สีเขียวหมายถึง การเมืองใหม่ เป็นการเมืองที่ไร้มลพิษ โปร่งใส
ซื่อสัตย์สุจริต สร้างชาติให้มีความอุดมสมบูรณ์
สีเหลืองหมายถึงธรรมะเป็นการเมืองที่ใช้ธรรมนำหน้า มือสีเหลือง 4
มือหมายถึง มือของประชาชนที่ยึดมั่นในธรรมจากทุกภูมิภาค ทุกภาคส่วน
และทุกสาขาอาชีพ
มาร่วมมือกันเพื่อโอบอุ้มและลงมือทำการเมืองใหม่ด้วยมือประชาชนเอง
โดยมีหัวใจสีเหลือง
หมายถึงศูนย์กลางจิตใจของประชาชนทุกหมู่เหล่าที่ยึดมั่นในธรรมและราช
บัลลังก์ ส่วนมีหัวใจ 4
ดวงหมายถึงมีหัวใจที่แน่วแน่ที่จะยึดมั่นอุดมการณ์ด้วยความเสียสละ
ซื่อสัตย์ กล้าหาญ และมีความสามารถ

แต่ที่สำคัญไปมากกว่านั้นชื่อ "พรรคการเมืองใหม่"
ที่กำลังจะก่อตัวขึ้นกำลังจะเป็นองค์กรที่เปรียบเทียบกับ
"พรรคการเมืองเก่า" ทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบ

เส้นแบ่งระหว่างการเมืองใหม่กับการเมืองเก่า
แตกต่างกันที่เนื้อหาสาระ 10 ประการดังต่อไปนี้

1. การเมืองใหม่ คือการเมืองที่เลือกข้างในคุณงามความดี
ยึดมั่นในจริยธรรม และศีลธรรม
ในขณะที่การเมืองเก่าคือการเมืองเลือกข้างความชั่ว ไม่มีจริยธรรม
และไม่มีศีลธรรม

2. การเมืองใหม่ คือการเมืองที่เลือกข้างความซื่อสัตย์ สุจริต
การเมืองเก่าคือการเมืองที่เลือกข้างความทุจริต ฉ้อฉล

3. การเมืองใหม่
คือการเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
การเมืองเก่าคือการเห็นแก่ตัวทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง

4. การเมืองใหม่
คือความกล้าหาญในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงพร้อมเลือกข้างความถูกต้องชอบธรรม
การเมืองเก่าคือความขลาดกลัวในการตัดสินใจ
ไม่กล้าเลือกข้างความถูกต้องหรือข้างใดๆ

5. การเมืองใหม่
คือการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองร่วมกันเพื่อผล
ประโยชน์ของประชาชนอย่างโปร่งใส
การเมืองเก่าคือการเมืองที่นักการเมืองและนายทุนเพียงไม่กี่คนในการตัดสินใจ
เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมือง

6. การเมืองใหม่ คือการเมืองที่ส่งเสริมให้คนดีปกครองบ้านเมือง
และหาทางป้องกันมิให้คนไม่ดีมีอำนาจ
การเมืองเก่าคือการเมืองที่ส่งเสริมให้นายทุนของพรรคทำมาหากินเพื่อคืนทุน
พรรคอย่างสามานย์ คนดีไม่มีอำนาจ คนชั่วครองเมือง

7. การเมืองใหม่
คือการเมืองที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจที่สร้างความเป็นธรรมในสังคมและเน้นผล
ประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ส่วนการเมืองเก่า
คือการเมืองที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจตกอยู่ในอาณัตินายทุนผูกขาดเพียงไม่กี่คน

8. การเมืองใหม่
คือการเมืองที่พัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงควบคู่ไปกับการอนุรักษ์
และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นฐานในการดำเนินชีวิตและ
อาชีพตามภูมินิเวศน์
การเมืองเก่าคือการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนเพียงไม่กี่คนแต่ทำลายวิถี
ชีวิตและทรัพยากรของคนทั้งชาติ

9. การเมืองใหม่
คือการเมืองที่ให้ประชาชนเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งด้วยการศึกษาที่มีคุณภาพที่
ใช้ได้ในชีวิตจริงควบคู่ไปกับคุณธรรมเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ
ชาติ ส่วนการเมืองเก่าคือการเมืองที่ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือเอาชนะทางการเมือง
และเป็นเครื่องมือทางธุรกิจที่สร้างประโยชน์ผูกขาดให้กับนายทุนเพียงไม่กี่
กลุ่ม

10. การเมืองใหม่
คือการเมืองที่เปิดกว้างในข้อมูลข่าวสารให้พัฒนาก้าวไกลด้วยข้อมูลข่าวสาร
ปฏิรูปสื่อให้เป็นองค์กรพัฒนาจิตสำนึกและศักยภาพของคนในชาติ
การเมืองเก่าคือการทำให้สื่อมวลชนเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจของนายทุนและพวก
พ้องเป็นสำคัญโดยปราศจากความรับผิดชอบต่อสังคม

มีคำถามว่าพรรคการเมืองใหม่จะมีฐานเสียงอยู่เท่าใด
เป็นเรื่องที่ยากแก่การตอบคำถามนี้อย่างยิ่งเพราะพรรคการเมืองใหม่
จะไม่ใช่พรรคเพื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แต่จะเป็นพรรคของประชาชนทั้งชาติที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

แต่ผลสำรวจที่เคยทำกันมาที่อาจจะพออ้างอิงได้
ก็ดูเหมือนจะเป็นการสำรวจของ รังสิตโพลล์ ระหว่างวันที่ 16-19 พฤษภาคม
พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นผลสำรวจที่ได้สุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ
ซึ่งผลของการสำรวจในขณะนั้นยังไม่มีการตั้งพรรคการเมืองใหม่
จึงมีการทำผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อ "ศักยภาพ" และ
"การให้การยอมรับ" ระหว่าง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
และคนเสื้อแดง ดังต่อไปนี้

1. ประชาชนเห็นว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นกลุ่มคนที่
"มีศักยภาพ" คิดเป็นร้อยละ 46.89 เห็นว่าไม่มีศักยภาพคิดเป็นร้อยละ 23.68
ไม่แน่ใจ/ไม่ออกความเห็นคิดเป็นร้อยละ 29.43

2. ประชาชนเห็นว่า นปช. หรือคนเสื้อแดง
เป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพคิดเป็นร้อยละ 30.29
เห็นว่าไม่มีศักยภาพคิดเป็นร้อยละ 34.51
ไม่แน่ใจ/ไม่ออกความเห็นคิดเป็นร้อยละ 35.19

3. ประชาชนเห็นว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นกลุ่มคนที่
"มีศักยภาพและให้การยอมรับ" คิดเป็นร้อยละ 26.84
ส่วนคนเสื้อแดงประชาชนเห็นว่าเป็นกลุ่มคนที่ "มีศักยภาพและให้การยอมรับ"
เพียงร้อยละ 15.61

ถ้าเสียงสะท้อนของคนเสื้อแดงเป็นเสียงมวลชนที่มีความเชื่อมโยงกับฐาน
เสียงพรรคเพื่อไทย
ก็อาจกล่าวได้ว่าฐานเสียงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
(ซึ่งอาจทับซ้อนกับเสียงของพรรคประชาธิปัตย์)
ในวันนี้มีมากกว่าพรรคเพื่อไทย

มิพักต้องพูดถึงการเปรียบเทียบในเชิงปริมาณจากผลการเลือกตั้งที่ฐาน
เสียงพรรคประชาธิปัตย์อยู่ที่ประมาณ 7 ล้านเสียงในช่วงปี 2544 - 2548
และพรรคไทยรักไทยมีคะแนนเสียงสูงสุดที่ 19 ล้านเสียงในปี 2548
แต่ภายหลังจากการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2549
ประชาธิปัตย์มีเสียงเพิ่มขึ้นประมาณ 6 ล้านเสียงในปี 2550
ในทางตรงกันข้ามพรรคพลังประชาชนฐานเสียงหายไปประมาณ 6
ล้านเสียงเช่นเดียวกัน

อิทธิพลหลังการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เกิดการเคลื่อนย้ายคะแนนถึง 6 ล้านคะแนน

จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่เสียงสะท้อนต่อสู้กันในเรื่องการตั้ง
/ไม่ตั้งพรรคการเมืองใหม่ในอินเทอร์เน็ตมีความรุนแรงมากในหลายเว็บไซต์
เพราะมี "เสียงจำนวนหนึ่ง"
ที่ไม่เห็นด้วยนั้นเป็นฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมากอยู่พอสมควร

ที่น่าประหลาดใจคือ
การสำรวจในครั้งนี้ประชาชนที่เห็นว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็น
กลุ่มคนที่ "มีศักยภาพและให้การยอมรับ"
มากที่สุดกลับเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือคิดเป็นร้อยละ 54.15
และอันดับที่สองรองลงมาคือภาคใต้คิดเป็นร้อยละ 52.55

เสียงจากภาคใต้ซึ่งผูกขาดกับพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
แต่ในการประชุมสภาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24
พฤษภาคม 2552 เสียงส่วนใหญ่จากภาคใต้กลับตอบแบบสอบถามเห็นด้วยว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตยควรตั้งพรรคถึงร้อยละ 74.79

ในขณะที่ประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นฐานเสียงของระบอบ
ทักษิณ กลับแสดงความคิดเห็นในการสำรวจของรังสิตโพลล์ว่า
กลุ่มคนเสื้อแดงมีศักยภาพและให้การยอมรับเพียงร้อยละ 24.54

แต่เมื่อจำแนกตามรายได้ก็จะพบว่าคนที่มีรายได้สูงจะเห็นว่าพันธมิตร
ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ
และให้การยอมรับมากกว่าคนที่มีรายได้น้อยดังนี้ รายได้ต่ำกว่า 7,500
บาทเห็นว่าพันธมิตรฯ มีศักยภาพและให้การยอมรับร้อยละ 34.56 ระหว่าง
7,501-20,000 บาท เห็นว่าพันธมิตรฯ มีศักยภาพและให้การยอมรับร้อยละ 39.67
ในขณะที่ผู้มีรายได้มากกว่า 20,000 บาท เห็นว่าพันธมิตรฯ
มีศักยภาพและให้การยอมรับร้อยละ 45.39
และเมื่อจำแนกตามอาชีพพบว่าคนที่ยอมรับพันธมิตรฯ
ส่วนใหญ่ทำธุรกิจส่วนตัว, ค้าขาย, รับจ้างทั่วไป, พนักงานเอกชน,
ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์เป็นผู้ที่จะต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดา

และเมื่อสำรวจผู้ที่ต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดา ปี 2552 มีจำนวน
9,338,200 คน แต่มายื่นเสียภาษี 7,618,319 คน
ซึ่งตามกฎหมายสามารถยื่นบริจาคให้พรรคการเมืองไม่เกินรายละ 100 บาท
ตามมาตรา 58 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.
2550 ซึ่งปรากฏว่ามีการยื่นแสดงความจำนงบริจาคให้พรรคการเมืองเพียง
66,364 คน

มีประชาชนได้ยื่นบริจาคภาษีให้พรรคประชาธิปัตย์ 57,124 ราย
คิดเป็นเงินประมาณ 5.7 ล้านบาท ที่เหลือจากยอดบริจาคให้พรรคอื่นๆ
ซึ่งได้รับน้อยมาก

แต่ ถ้าพรรคการเมืองใหม่เป็นความหวังของประชาชนที่ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของ
ทุน และทำประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
เงินภาษีดังกล่าวซึ่งมีวงเงินประมาณเกือบพันล้านบาท
อาจจัดสรรให้กับพรรคการเมืองแห่งความหวังของประชาชนได้

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000062071

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น